นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้มีกระแสข่าวกังวลว่าอาจกระทบต่อผลการดำเนินงานและอาจทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินโ ดยเฉพาะการชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนด โดยขณะนี้มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่เหลือในปีนี้ 6,200 ล้านบาท จะทยอยครบกำหนดเป็นรายไตรมาส ซึ่งบริษัทมีสภาพคล่องจำนวนมาก เนื่องจากได้รับวงเงินตั๋ว P/N, B/E รวมทั้งเงินกู้จากธนาคาร 11,000 ล้านบาท ให้สำรองเบิกใช้ได้เมื่อมีความจำเป็น
รวมทั้งมีความสามารถออกหุ้นกู้ใหม่ เพื่อขยายธุรกิจในอนาคตได้อีก เนื่องจากมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำมากเพียง 2.8 เท่า มีศักยภาพสามารถที่จะขอรับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มถึง 4.5 เท่า เพื่อรองรับการขยายสาขาในการปล่อยสินเชื่อ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ Rating ที่บริษัทฯได้รับปัจจุบันคือ BBB+ ซึ่งได้รับมาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว มีแนวโน้มว่าถ้ายังคงการเติบโต และเป็นผู้นำการตลาดได้ ทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะปรับ Rating ให้สูงขึ้นเป็น A- ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตามขณะนี้มีความกังวลต่อราคาหุ้น MTC ที่ปรับตัวลดลงมากจนกระทั่งต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งจากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่ามีหลายแนวทางที่จะสามารถนำมาใช้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ แต่จะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมและเลือกวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
นายชูชาติ กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงมั่นใจว่าผลการดำเนินการยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี กล่าวคือในปี 2563 สินเชื่อจะมีการเติบโต 20-25% และสามารถคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ให้เกิน 2%
"ในปี 2563 ขณะนี้ผ่านมาได้ 2 เดือน และผมเห็นผลการดำเนินงานทั้งเรื่องยอดปล่อย ยอดเก็บหนี้ และยอดหนี้เสีย ทุกอย่างเป็นไปในแผนงานทุกประการ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล โดยเฉพาะหนี้เสีย ถึงแม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะให้เราช่วยเหลือลูกค้าในการรีไฟแนนซ์ให้ลูกค้าได้ แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่มีประวัติค้างชำระเกิน 3 เดือน ทางบริษัทก็ยังคงตั้งสำรองหนี้เสียไว้ครบ 100% ตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีทุกประการ โดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) จากการพูดคุยกับทาง ธปท. ก็ยังไม่มีนโยบายที่จะลดดอกเบี้ยลงจาก 28% แต่ประการใด"นายชูชาติ กล่าว