นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) เปิดเผยว่า เอเซีย พลัส ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้เป็นติดลบ 1.4% ซึ่งถือเป็นการปรับลดคาดการณ์ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 จากเดิมที่คาดขยายตัวได้ 1.6% เพื่อสะท้อนผลกระทบต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสองโควิด-19
ทั้งนี้ การปรับลดคาดการณ์ GDP ครั้งนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จะสามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 3/63 นี้ โดยมีการปรับลดสมมติฐานหลักๆ สำคัญ ได้แก่ ส่งออกและนำเข้าในรูปสกุลดอลลาร์ ปรับลงเหลือ 5.5% และ 6% ตามลำดับ แม้ว่าส่งออกในเดือน ม.ค.63 จะขยายตัวได้ 3.5% แต่มาจากส่งออกทองคำเพิ่มขึ้น โดยหากตัดทองคำออกส่งออกจะติดลบ
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า ส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้จะได้รับผลกระทบจากทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายประเทศทั่วโลกทั้งฝั่งยุโรป, เอเซีย และอื่นๆ ต้องยกระดับควบคุม เช่น การปิดประเทศ, ปิดกั้นพรมแดน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้า การขนส่ง ชะลอลง ขณะที่ประเด็นเรื่องของราคาน้ำมันดิบที่ต่ำลงหลุดระดับ 30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรลจะกระทบส่งออก เนื่องจากไทยมีการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันราว 10% ของการส่งออกรวม
เช่นเดียวกับฝั่งนำเข้าที่คาดภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เอกชนชะลอการนำเข้าสินค้า สะท้อนได้จากการบริโภคครัวเรือนคาดหดตัว 1.3% ผลจากภัยแล้งหนักสุดในรอบ 40 ปี นักท่องเที่ยวไม่เดินทางเข้าไทยกระทบการจับจ่ายใช้สอย, การปิดสถานบันเทิง สถานที่ชุมชน, ประชาชนไม่ออกจากบ้านจากความกังวลไวรัสโควิด-19 และที่สำคัญคือ มาตรการคลังของภาครัฐยังไม่มีมาตรการที่แรงพอจะพยุงเศรษฐกิจ
ขณะที่การลงทนภาคเอกชนคาดว่าจะหดตัว 2.5% จากนักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน หลังจากหลายประเทศที่ปิดประเทศ จากเรื่องของโควิด-19 และราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดเหลือ 40 เหรียญฯ/บาร์เรล จากเดิม 60 เหรียญฯ/บาร์เรล
สำหรับสมมติฐานอื่นๆ ASP ยังคงคาดว่าในปีนี้การใช้จ่ายภาครัฐจะเติบโต 2.5% และการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะเติบโต 2% เห็นได้จากงบประมาณปี 63 หลังจากที่ผ่านเดือน มี.ค.63 จะเริ่มเห็นรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ก็เน้นไปที่โครงการลงทุนขนาดเล็กมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯ คาด GDP Growth ปีนี้หดตัว 1.4% เทียบกับหน่วยงานอื่น เช่น หน่วยงานเอกชนหลายแห่ง คาดอยู่ในช่วงหดตัว 0.3% จนถึงหดตัว 0.8% ขณะที่หน่วยงานของรัฐยังคาดว่าจะขยายตัว 1.1-2 % แต่ในอนาคตหน่วยงานรัฐจะมีการปรับลงตามแน่นอน