ทั้งนี้ AEC ประกอบกิจการที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมชั้นนำ 1 ใน 4 ของไทยที่ได้รับงานจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในการรับงานโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ราว 2,000 ล้านบาทที่จะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะรับงานโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จากภาครัฐต่อเนื่อง อาทิ งานรถไฟฟ้า สนามบิน และท่าเรือ เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการใหม่อีก 2-3 แห่งในกลุ่มธุรกิจออกแบบ ที่ปรึกษา และควบคุมการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น รองรับกับการขยายงานของบริษัท
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน STI มี Backlog ราว 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 35-40% ของมูลค่างานทั้งหมด แบ่งเป็นงานภาคเอกชน 76% และงานภาครัฐ 24% ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่หลากหลายประเภท ขณะนี้ยังเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการ One Bangkok โครงการ The PARQ โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โครงการพัฒนาพื้นที่หมอน 33 หรือบล็อก 33 โครงการศูนย์กระจายสินค้าของกลุ่ม บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPI) และโครงการควบคุมการก่อสร้างโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โซน C เป็นต้น พร้อมกันนี้ บริษัทยังเตรียมเซ็นสัญญารับงานใหม่ มูลค่าราว 200 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 2/63 นี้ และยังเจรจางานใหม่และเข้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับทิศทางผลประกอบการในไตรมาส 1/63 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ ยังเป็นไปตามปกติ และยังมีงานใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย โดยลูกค้าส่วนใหญ่มาจากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ที่มีความเข้มแข็งทางด้านการเงินบริษัทจึงไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างได "แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบ โดยลูกค้าหลักของเรามาจากภาครัฐ และผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีฐานค่อนข้างแข็งแรง และไม่ได้ชะลอการลงทุน ขณะเดียวกัน เชื่อว่าปีนี้จะมีเม็ดเงินลงทุนที่ออกมาจากภาครัฐจำนวนมากตามนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในงานโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นอกจากนี้เรายังค่อยๆหาพันธมิตรเข้ามาเพิ่มเติมเพื่อที่จะอุดช่องโหว่ในการรับงานด้วย"นายสมเกียรติ กล่าว ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้อัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 12% จากปีก่อนอยู่ที่ 11.76% เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษการตั้งสำรองค่าใช่จ่ายพนักงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่เหมือนในปีก่อน และบริษัทยังคงเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีอีกด้วย