นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็ปเป้ (SAPPE) เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วงไตรมาส 1/63 ของบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่สินค้าของบริษัทเป็นเครื่องดื่มที่ยังมีความต้องการบริโภคอยู่ ประกอบกับ บริษัทปรับกลยุทธ์การขายให้มีสินค้าของบริษัทในชั้นวางสินค้าตลอดเวลา ไม่มีการขาดสต๊อก ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังเห็นการเติบโตของยอดขายทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายทั้งปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 5-10%
ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่าในปีนี้จะได้รับปัจจัยหนุนจากราคาต้นทุนการผลิตขวด PET ลดลงราว 15-20% จากการราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วงนี้ เนื่องจากราคาขวด PET จะสอดคล้องกับราคาน้ำมัน และต้นทุนของขวด PET ถือว่าเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของเครื่องดื่ม คิดเป็นสัดส่วน 30% ของต้นทุนทั้งหมด ดังนั้นเมื่อราคาต้นทุนขวด PET ลดลงจะช่วยทำให้ภาพรวมต้นทุนการผลิตเครื่องดื่มต่อขวดลดลงไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการควบคุมต้นทุนอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะในแง่ของการผลิตที่จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้นอีกในปีนี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคและกระบวนการลดต้นทุนต่างๆจากพันธมิตร คือ Danone ที่จะนำเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญต่างๆเข้ามาเสริมประสิทธิภาพให้กับบริษัท พร้อมกับการวางแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 1 รายการในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ในปีนี้บริษัทยังเน้นทำการตลาดผ่านออนไลน์ และการโฆษณาผ่านสื่อนอกบ้าน (OOH) เป็นหลัก เพราะเป็นสื่อที่ใช้การลงทุนน้อยกว่าสื่อประเภท Mass Media และเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้มาก พร้อมกับจะขยายช่องทางขายในประเทศไปที่ร้านค้าแบบดั้งเดิม (TT) มากขึ้น เพื่อเจาะตลาดลูกค้าในพื้นที่ที่ยังเข้าไม่ถึง โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศผ่านช่องทาง TT อยู่ที่ 25% และจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ในปีนี้ โดยช่องทางการขายส่วนใหญ่ยังเป็นการขายในโมเดิร์นเทรด (MT) สัดส่วน 75% และปีนี้จะลดสัดส่วนมาที่ 70%
สำหรับตลาดต่างประเทศจะเน้นไปที่การทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความนิยมและเป็นที่รู้จักแล้ว เช่น แบรนด์ SAPPE Aloe Vera ที่เป็นที่นิยมมากในกลุ่มประเทศ CLMV และแบรนด์ MOGU MOGU ที่เป็นที่นิยมมากในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะยังคงทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าไปขายในกลุ่มประเทศ CLMV เช่น แบรนด์ B'lue, SAPPE Beauti Drink และเพรียว คอฟฟี่ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงนี้ที่อ่อนค่าลงมาส่งผลบวกต่อการส่งออกของบริษัท ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าส่งออกของบริษัทมีราคราที่ถูกลง และสามารถขายได้เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหนุนให้กับบริษัทหากเงินบาทยังคงเป็นทิศทางอ่อนค่าในปีนี้ เพราะบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกที่สูง 60% และมีสัดส่วนการขายในประเทศที่ 40%