กลุ่มแบงก์ร่วงยกแผง โดยเมื่อเวลา 14.33 น.ดัชนีกลุ่มแบงก์ร่วง 8.41% มาอยู่ที่ 240.97 จุด ลดลง 22.13 จุด นำดิ่งโดยหุ้น KBANK ร่วง 13.71% มาอยู่ที่ 80.25 บาท ลดลง 12.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 918.75 ล้านบาท
หุ้น LHFG ร่วง 9.57% มาอยู่ที่ 0.85 บาท ลดลง 0.09 บาท มูลค่าซื้อขาย 3.85 ล้านบาท
หุ้น TCAP ร่วง 9.16% มาอยู่ที่ 29.75 บาท ลดลง 3.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 95.98 ล้านบาท
หุ้น BBL ร่วง 8.46% มาอยู่ที่ 89.25 บาท ลดลง 8.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 600.36 ล้านบาท
หุ้น KKP ร่วง 8.05% มาอยู่ที่ 34.25 บาท ลดลง 3.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 73.00 ล้านบาท
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯมองว่า ภาพรวมกลุ่มธนาคารยังไม่น่าสนใจ แม้ว่า SETBANK จะปรับตัวลงมาถึง -40% YTD และลงมาซื้อขายที่เพียง 0.5x มูลค่าทางบัญชี เนื่องจากการระบาดของ Covid-19 ที่แพร่กระจายและรุนแรง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงกลุ่มธนาคารต้องออกมาตรการต่างๆ เช่น พักชำระเงินต้น ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ เหล่านี้ล้วนกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธนาคาร
การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับดอกเบี้ยนโยบายลง อาจเป็นแรงกดดันให้ธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงด้วย เริ่มด้วย KBANK ที่นำร่องลดดอกเบี้ยก่อน ซึ่งเราคาดธนาคารอื่น ๆ จะลดตาม ดังนั้น คาดจะทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มธนาคารที่จะทำให้ Net interest margin (NIM) ปรับลดลง
ทั้งนี้ คาดกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่และกลางจะเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์ เนื่องจากมีฝั่งสินทรัพย์ที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวในสัดส่วนที่สูงกว่าสินทรัพย์ที่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้นเมื่อมีการปรับดอกเบี้ยลง ผลตอบแทนฝั่งสินทรัพย์จะปรับลดลงทันที และในด้านเงินฝาก มีเงินฝากที่เป็นฝั่งต้นทุนต่ำและไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงตามการปรับลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากนักอย่างเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current and Saving, CASA) ในสัดส่วนที่สูง ทำให้ต้นทุนเงินทุนยังไม่ปรับลงมาก
แต่คาดการลดดอกเบี้ยจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อธนาคารที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ (auto lender) เนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อส่วนมากมีอัตราดอกเบี้ยคงตัว ดังนั้นรายรับของกลุ่มธนาคารเหล่านี้จะยังไม่ปรับลงทันทีเมื่อดอกเบี้ยลง ประกอบกับด้านเงินฝากมีเงินฝากดอกเบี้ยคงตัวในอัตราสูง ทำให้เมื่อดอกเบี้ยปรับลง และธนาคารมีเงินฝากที่จะครบกำหนดอายุ จะสามารถหาเงินฝากที่ต้นทุนเงินทุนลดลงได้