นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ภายใน 5 ปี (63-67) จะเติบโตเป็น 2-3 พันล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่ 70% เนื่องด้วยบริษัทฯ มีแผนเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ สปป.ลาว จำนวน 2 โครงการ ขนาด 164 เมกะวัตต์ (MW) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในไตรมาส 3/63 ขณะเดียวกันยังมีการรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในโครงการโซลาร์ฟาร์ม จ.ปราจีนบุรี กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจเดิม ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 30% นั้น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 4,000 MVA หรือคิดเป็น 6,000 เครื่อง/ปี ถือว่ายังมีศักยภาพในการขยายตลาดได้อีกมาก
สำหรับปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตมาที่ราว 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 965.17 ล้านบาท ขณะที่ก็ตั้งเป้ากำไรสุทธิให้เติบโตกว่าปีก่อน จากปีก่อนอยู่ที่ 198.65 ล้านบาท จากการบริหารต้นทุนวัตถุดิบ โดยหาแหล่งวัตถุดิบที่มีราคาถูก, ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน รองรับการทำงานที่บ้านได้
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ปีนี้คาดจะมาจากภาคราชการ ซึ่งมีการจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คิดเป็น 25-35%, โครงการเอกชน คิดเป็นสัดส่วน 35-40% และภาคส่งออก คิดเป็นสัดส่วน 25-30%
ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) อยู่ราว 400 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมด ขณะที่งานประมูลใหม่ๆ ของทางภาครัฐ ยอมรับว่ามีการเลื่อนการประมูลออกไป เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะควบคุมได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ และถ้าหากควบคุมได้จริงน่าจะกระทบกับบริษัทฯ ไม่มาก โดยแผนการเข้าประมูลงานหน่วยงานภาครัฐ คาดมีมูลค่ารวม 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ คาดหวังจะได้รับงานราว 10% ของมูลค่างานทั้งหมด
ส่วนการจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ เช่น Smart Monitoring Box, BusDuct, Solar Inverter บริษัทฯ ก็มีการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวไปบ้างแล้วและเริ่มมีรายได้เข้ามา นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายแผงโซลาร์ให้กับบริษัท LONGI Solar Technology Co.,Ltd. ผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบ Monocrystalline อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางในการให้บริการในส่วนของธุรกิจพลังงานในอนาคต โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์บนหลังคาสถานีให้บริการน้ำมัน เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ รถยนต์ EV ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในระยะยาวจากปัจจุบัน ที่มีอยู่ประมาณ 3,000 คัน อีกทั้งยังทำให้เกิดความต้องการใช้หม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาในปีนี้อย่างแน่นอน
ด้านแนวโน้มผลการดำนินงานในไตรมาส 1/63 คาดว่าน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากตัวเลข 2 เดือนที่ผ่านมา หรือเดือนม.ค.-ก.พ.63 คาดว่าจะมีกำไร แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อยู่บ้าง แต่บริษัทฯ ยังมีงานในมือที่ทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่อง
"จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนั้น ส่งผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมวงกว้าง ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศมีการชะลอตัวโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก แต่หากพิจารณาในธุรกิจของบริษัทฯ แล้ว ต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเราเป็นกลุ่มผู้ประกอบการประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการแพร่ระบาดโควิด-19 หากจะโดนคงมีเพียงแค่การส่งออก อาจจะล่าช้าออกไปบ้างเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม QTC ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมเพิ่มขึ้น" นายพูลพิพัฒน์ กล่าว