นายวิจิตร เตชะเกษม ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟิลเตอร์ วิชั่น (FVC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของทุก ๆ ธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการด้านระบบน้ำ ซึ่งจะให้บริการลูกค้าที่เป็นพื้นที่โรงงานมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีรายได้ที่ระดับ 150-200 ล้านบาทในปี 65 จากปีนี้น่าจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/63 จะรับรู้รายได้จากโครงการใหญ่ราว 90 ล้านบาท
สำหรับกลุ่มธุรกิจพาณิชย์และที่พักอาศัย คาดว่าในปี 65 จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นคาดในปีนี้จะมีฐานรายได้แตะ 300 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับความต้องการของลูกค้าในกลุ่มร้านอาหาร ,โรงแรม และร้านสะดวกซื้อ ที่ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการปิดร้านในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ก็ยังมีการจำหน่ายอาหารผ่านทางดิลิเวอรี่ทดแทน
ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะศูนย์ไตเทียมคาดว่าในปี 65 จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ในปี 63 จะขยายการให้บริการเครื่องไตเทียมไม่ต่ำกว่า 130-150 เครื่อง และจะมีจำนวนสาขาให้บริการรวมราว 15-16 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาให้บริการทั้งหมด 9 สาขา
ขณะที่ธุรกิจเสริมความงามภายใต้แบรนด์แฟรนไชส์ "วุฒิศักดิ์คลินิก" มีสาขาให้บริการ 9 สาขา รวมถึงการลดขนาดพื้นที่ให้บริการของแต่ละสาขาเพื่อลดต้นทุนด้านการบริหารงาน และย้ายสาขาในห้างสรรพสินค้าออกไปยังพื้นที่นอกห้างสรรพสินค้าเพื่อที่จะลดต้นทุน โดยในปีที่ผ่านมาจากการบริหารจัดการที่ดีขึ้น และปรับปรุงโครงสร้างต่าง ๆ จึงคาดว่าผลประกอบการจะกลับมาเป็นบวกได้
นายวิจิตร กล่าวอีกว่า สำหรับบริษัท ไฮ เฮลธ์แคร์ เซ็นเตอร์ จำกัด ในปีนี้จะไม่มีการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์และค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่มาจาก "วุฒิศักดิ์" มากเหมือนในปี 62 อย่างไรก็ตามบริษัทยังมองหาแนวทางที่จะบริหารจัดการธุรกิจ "วุฒิศักดิ์คลินิก"เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดแก่นักลงทุน ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งการขาย ,หาผู้ร่วมลงทุน , ลดสัดส่วนการถือหุ้น เป็นต้น
"ในช่วงไตรมาส 1/63 ผลประกอบการก็ยังถือว่าปรับตัวได้ดี จากงานที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ กลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่าจะมากน้อยเพียงใด และจะยืดเยื้อไปมากน้อยแค่ไหนด้วย แต่เบื้องต้นทิศทางผลประกอบการจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 62 เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษมากเหมือนปีก่อนแล้ว"นายวิจิตร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงแผนการนำธุรกิจการแพทย์ที่เกี่ยวเนื่องกับศูนย์ไตเทียม เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 64 โดยในธุรกิจดังกล่าวมีทิศทางการเติบโตและมีศักยภาพ