นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในเดือน เม.ย.ยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงหลักต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปี 63 ทั้งการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ความผันผวนของราคาน้ำมัน และแนวโน้มปัญหาภัยแล้งที่จะเข้ามากระทบ โดยเฉพาะผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างรุนแรงเพราะกระทบกับภาคเศรษฐกิจจริงของประเทศ จนส่งผลให้ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลดลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในเดือน เม.ย.นี้จะมีสภาพคล่องส่วนเพิ่มในประเทศเกิดขึ้นใหม่จาก 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ การเริ่มโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 20 แห่ง และการเริ่มขายกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ประเภทพิเศษ หรือ SSF-X ซึ่งจากการคำนวณของทรีนีตี้โดยอ้างอิงกับระดับการเข้าซื้อของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ในอดีต คาดว่าจะมีเม็ดเงินราว 2 หมื่นล้านบาทไหลเข้าสู่กองทุน SSF-X ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้
ทั้งนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในเดือน เม.ย.จะมีแนวต้านสำคัญอยู่ 2 บริเวณ ได้แก่ 1,130-1,140 จุด และ 1,220 จุด โดยระดับ 1,130-1,140 จุดเป็นระดับที่อิงการปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 8.9% จากดัชนีปิดต่ำสุด ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของการ Rally ในช่วงตลาดขาลง 3 รอบหลังสุดและยังเป็นระดับที่เทียบเคียง P/E ในกรณีล่างที่ 14.2 เท่า (อิงประมาณการ EPS ที่ 80 บาท) ส่วนระดับดัชนี 1,220 จุด นั้นเป็นระดับที่อิง P/E ในกรณีฐานที่ 15.2 เท่า ในสถานการณ์แบบนี้ยังคงแนะนำให้นักลงทุน Selective การถือครองไปยังหุ้นแนะนำ ขณะเดียวกันถ้าดัชนีขึ้นไปแตะแนวต้านแรกที่ 1,130-1,140 จุด แนะนำขายหุ้นออกมาบางส่วน และหากยังเดินหน้าไปต่อถึงระดับ 1,220 จุด แนะนำเป็นจุดขายหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
"มองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ 970 จุด แต่ต้องอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจไทยนั้นจะปรับตัวทำจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ เนื่องจาก โดยปกติแล้ว ดัชนีหุ้นไทยมักปรับตัวชี้นำเศรษฐกิจและกำไรของบจ.อยู่ประมาณ 1 ไตรมาส มองการประกาศเคอร์ฟิวหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นผลบวกต่อ SET เนื่องจากจะเป็นการช่วยร่นระยะเวลาจุดสูงสุดของปัญหาให้ใกล้เข้ามายิ่งขึ้น" นายณัฐชาต กล่าว
นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับธีมการลงทุนแนะนำในเดือนเมษายน ยังคงโฟกัสไปที่ 5 กลุ่มการลงทุนซึ่งประกอบ ไปด้วย 12 บริษัท โดยคาดว่าหุ้นเหล่านี้มีโอกาสเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่กำลังจะได้รับสภาพคล่องส่วนเพิ่มจากการเปิดขายกองทุน SSF-X ในเดือนเมษายนนี้ โดยเฉพาะจากกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Active management ประกอบด้วย
1. กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ Valuation เริ่มลดความร้อนแรงลงและยังมีความน่าสนใจจากฐานรายได้ที่สม่ำเสมอและปันผลดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร(Bond Yield) ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยหุ้นที่น่าสนใจคือ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บมจ.ผลิตไฟฟ้า(EGCO) และบมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH)
2. กลุ่มสื่อสารที่มีอัตราเงินปันผลสูง มีความผันผวนต่ำและยังได้รับประโยชน์จากปริมาณการใช้ Data ที่สูงขึ้นจากการทำงานที่บ้าน เช่น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH)
3. กลุ่ม Consumer staple ที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตประจำวันและได้ประโยชน์จากการเร่งกักตุนสินค้าของประชาชน รวมถึงมาตรการเพิ่มเงินในกระเป๋าจากทางรัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC)
4. กลุ่มบริหารสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยลดลงทำให้ต้นทุนทางการเงินถูกลงและมีโอกาสซื้อหนี้ในราคาถูกในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คือ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM)
5. กลุ่มอาหารที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า การบริโภคเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้น และการ Turn around ของกำไร คือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และบมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)
สำหรับหุ้นกลุ่มโรงแรม สายการบิน สนามบิน ยังคงแนะนำให้ชะลอการลงทุนไปก่อน แม้ว่าราคาจะปรับลดลงมามากแล้วก็ตาม โดยมองจุดการเข้าซื้อที่ปลอดภัยที่สุดยังคงได้แก่การรอให้ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศการควบคุมโรคโควิด-19 ให้ได้อย่างเป็นทางการเสียก่อน อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่ต้องการซื้อเร็วกว่านั้น มองว่าอย่างน้อยก็จะต้องรอให้จำนวนผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นปรับตัวขึ้นถึงจุดสูงสุดให้ได้เสียก่อน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลล่าสุดนั้นยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ยังคงแนะนำการถือครองทองคำในสัดส่วน 10% ของพอร์ตโฟลิโอรวมต่อไป เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์อันดับแรกๆจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่เอ่อล้นทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สะท้อนจากขนาดงบดุลของ 4 ธนาคารกลางขนาดใหญ่ที่ ณ ตอนนี้อยู่ที่ระดับ 16.8 ล้านล้านดอลลาร์ฯ มากกว่าจุดสูงสุด ณ ช่วงต้นปี 61 ที่อยู่เพียง 15.8 ล้านล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น