นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงเหลือ -6.9% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 0.8% โดยประมาณการดังกล่าว อิงสมมติฐานหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 70% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือ 12 ล้านคน 2) ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากคาดการณ์เดิมที่ 55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล 3) ภัยแล้งมีความรุนแรงยืดเยื้อจนถึงเดือน ก.ย.จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่เดือน พ.ค.จึงคาดว่าผลกระทบจากภัยแล้งจะกลายเป็น 0.7% ของ GDP จากเดิม 0.2% ของ GDP
"เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงในด้านต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 แย่ลงมากอย่างมีนัยและมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งหากภัยแล้งลากยาวถึงสิ้นปี ดังนั้น คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 0.5% โดยการประชุมครั้งล่าสุดยังเสียงแตกและคำแถลงการณ์ยังระบุว่าพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายเพิ่มเติมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการทางการเงินอื่นๆ ที่เหมาะสมและทันการณ์ ในขณะเดียวกันเงินบาทจะถูกกดดันเพิ่มเติมในระยะข้างหน้าจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เปราะบาง รวมถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่น่าจะกลับมาหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุดลง" นายคมศร กล่าว
นอกจากนโยบายทางการเงินแล้ว TISCO ESU คาดหวังการตอบสนองของนโยบายการคลังที่มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับความอ่อนไหวของเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเพื่อเยียวยาผลกระทบจากไวรัส (ระยะที่ 1 และ 2) มีเม็ดเงินราว 2% ต่อจีดีพี ยังไม่เพียงพอจะชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะกระทบประมาณ 9% ดังนั้น จึงสนับสนุนให้รัฐบาลใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ทั้งหมด (เช่น พ.ร.ก. กู้เงิน) เพื่อที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีพื้นที่สำหรับกู้เงินเพิ่มเติมราว 2.42 แสนล้านบาท ตาม พ.ร.บ. หนี้สาธารณะ ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศในกลุ่มเดียวกัน และยังอยู่ภายใต้เกณฑ์กรอบความยั่งยืนทางการคลัง
นอกจากนี้ เงินที่พร้อมสำหรับการเบิกจ่ายในมือของรัฐบาลอย่างงบประมาณ FY2020 จำเป็นจะต้องถูกเบิกจ่ายอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนไว้สูงมากที่ 100% ในปีงบประมาณนี้ (แม้ว่างบประมาณจะล่าช้ากว่าปกติไปเกือบ 5 เดือน) ซึ่งถ้ารัฐบาลสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้า (ในอดีตช่วงที่สถานการณ์ปกติรัฐบาลสามารถเบิกจ่ายได้เพียง 70% เท่านั้น) จะช่วยลดความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไทย และอาจช่วยให้เศรษฐกิจไม่แย่เท่าช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่เศรษฐกิจไทยหดตัว -7.6%
ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า สำหรับมุมมองตลาดหุ้นเดือน เม.ย.คาดว่าหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวชั่วคราวจากอานิสงส์การผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเต็มที่ของธนาคารสำคัญของโลก ทั้งการลดดอกเบี้ยลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาล เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดความปั่นป่วนในตลาดการเงิน นอกจากนี้ รัฐบาลในหลายประเทศยังทยอยออกมาตรการเยียวยา-กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมด้วย
โดยมองเป้าดัชนีหุ้นไทยในรอบนี้น่าจะฟื้นตัวจำกัดที่บริเวณ 1,140-1,200 จุด อิงมาจากปัจจัยทางเทคนิคที่เคยเป็นโซนจุดต่ำและจุดสูงหลายครั้งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมองว่าหุ้นไทยมีโอกาสจะฟื้นตัวได้ แต่ต้องยอมรับว่าความผันผวนก็ยังสูงอยู่ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง
"สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่มีผู้ติดเชื้อฯ พุ่งขึ้นมาก สำหรับไทยก็มีหลายกรณีที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในต่างจังหวัดจากการสั่งปิดห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม (ก่อนรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ทำให้มีแรงงานจำนวนมากกลับภูมิลำเนาเดิม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การแพร่ระบาดถีบตัวสูงขึ้นเหมือนกรณีสนามมวย ซึ่งหากรัฐบาลมีการประกาศใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น-ยาวนานขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" นายอภิชาติกล่าว
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ยังคงกลยุทธ์การทยอยสะสมหุ้นแบบแบ่งซื้อในช่วงตลาดผันผวน แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงตลาดรีบาวด์ก็ควรขายล็อกกำไรไว้บ้าง รอย่อตัวซื้อคืน หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนเมษายน คือ BAM, BJC, DTAC, PTTEP, RBF, SCC และ TVO ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,070 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,010-1,020 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,165-1,170 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,190 จุด
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า แม้ว่าความไม่แน่นอนยังมีอยู่ แต่ก็มีลุ้นมากขึ้นว่าดัชนีหุ้นไทยอาจผ่านจุดต่ำสุดของภาวะหมีรอบนี้ไปแล้วที่บริเวณ 970 จุด หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ที่ 1.1-1.2 เท่า ซึ่งเป็นระดับเทียบเคียงเส้นแนวโน้ม P/BV ระยะยาวในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 และวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 51 ที่บริเวณ 0.5-0.6 เท่า และ 0.8-0.9 เท่า ตามลำดับ ผสานกับหุ้นไทยมีตัวช่วยเข้ามาพยุงตลาดมากขึ้น เช่น การประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน ที่นับตั้งแต่ต้นปีนี้มีวงเงินซื้อคืนรวมมากกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์, กองทุนเพื่อการออมระยะยาว (SSF) แบบพิเศษที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินทยอยไหลเข้าตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (เม.ย.-มิ.ย.)
และประเด็นสุดท้ายคือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตรการชั่วคราวเพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด เช่น การปรับเกณฑ์การขายชอร์ตจากราคาไม่ต่ำกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย เป็นราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย, การปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และปรับเกณฑ์การหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker) จาก 2 ระดับ เป็น 3 ระดับ