นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล กรรมการรองกรรมการอำนวยการ ธนาคารทิสโก้ (TISCO)กล่าวว่า ธนาคารมีแผนเพิ่มฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้ารายใหญ่เป็นส่วนใหญ่ โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 4-5% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ การเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อยจะมาจากการขยายสาขาที่มากขึ้น ตามที่ธนาคารได้วางเป้าหมายจะเพิ่มสาขาเป็น 30 สาขา จากปัจจุบันที่มี 23 สาขา รวมทั้งการที่เป็นพันธมิตรกับบริษัทไปรษณีย์ไทยในการให้บริการ "TISCO POST" รับฝากเงินเพื่อเข้าบัญชี ณ ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ
นางอรนุช กล่าวว่า ทิสโก้คาดว่าสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้จะเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่เติบโตในระดับ 17% โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัวไปแล้ว 8.2% โดยแยกเป็นสินเชื่อเช่าซื้อเติบโตได้ถึง 10.5% ส่วนสินเชื่อธุรกิจขยายตัว 2.4% และมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีความเชื่อมั่นกลับมา หลังจากเศรษฐกิจและการเมืองมีความชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่ายอดขายรถยนต์ในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก อีกทั้งในช่วงต้นเดือนธ.ค.จะมีงานมอเตอร์โชว์ที่จะช่วยกระตุ้นผู้บริโภคกลับมาซื้อรถมากขึ้นด้วย
"ในส่วนของแบงก์ยังไม่มีความจำเป็นในการหาพันธมิตร เนื่องจากมองว่ายังสามารถเติบโตได้" นางอรนุช กล่าว
พร้อมกันนี้คาดว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาที่ 3.4% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 2.7-3.0% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินลดลง โดยในการออกหุ้นกู้ล็อตแรกซึ่งจะทยอยหมดในก.ค.-ต.ค.นี้มีอัตราดอกเบี้ย 4.5% ขณะที่หุ้นกู้ล็อตใหม่ วงเงิน 4 พันล้านบาทมีอัตราดอกเบี้ย 3.75% ขณะที่สามารถรักษาดอกเบี้ยรับได้คงที่
นางอรนุช กล่าวถึงแนวโน้มดอกเบี้ยว่า โดยส่วนตัวมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก 0.25-0.50% เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดปัจจุบันยังมีอยู่มาก จึงจำเป็นต้องปรับลงเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายให้กลับมา
สำหรับรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ในช่วงครึ่งปีหลังก็คาดว่าจะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยประเมินหากแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นที่จะกลับมาฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะมีวอลุ่มเฉลี่ยต่อวัน 1.0-1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้เชื่อว่ารายได้ค่านายหน้าหลักทรัพย์จะดีขึ้น และส่วนแบ่งทางการตลาดของบล.ทิสโก้น่าจะอยู่ในระดับ 3.2-3.5% แม้ช่วงครึ่งปีแรกจะปรับลดลงไปบ้าง
"ไตรมาส 2 รายได้หลักทรัพย์ลดลง จากภาวะตลาดหุ้นทำให้ออเดอร์ของกองทุนต่างชาติที่เข้ามาในไตรมาส 2 ลดลงด้วยเหลือ 35% จากเดิม 40% แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศ เริ่มสนใจกลับเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากมองว่าความเสี่ยงที่ผ่านมาเริ่มลดลง" นางอรนุช กล่าว
รวมถึงด้านธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนก็ปรับตัวได้ดีขึ้น โดย 6 เดือนแรกของปีนี้มูลค่าสินทรัพย์รวมเติบโต 12.8% ซึ่งมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดเป็นสัดส่วนของกองทุนรวม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กองทุนส่วนบุคคล
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--