(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับลงตามตลาดตปท. วิตกการแพร่ระบาดไวรัสในสหรัฐฯ-PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯหดตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 2, 2020 09:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างปรับตัวลงกันเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับดาวโจนส์ที่ร่วงลงกว่า 900 จุดเมื่อคืนที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นทะลุ 2 แสนคน และยังมีสัญญาณว่าจะเลวร้ายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งทำให้คนกลัวจะกระทบเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯก็ออกมาหดตัวด้วย

อย่างไรก็ดี บรรยากาศการลงทุนอาจเงียบเหงา เนื่องจากมีบางตลาดในภูมิภาคปิดทำการ ทำให้วอลุ่มเทรดอาจไม่มาก และนักลงทุนบางส่วนอาจชะลอการลงทุนไปก่อน เนื่องจากบ้านเราช่วงนี้คนก็กลัวจะมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น หลังจากที่การแพร่ระบาดไวรัสยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงอยู่ ซึ่งเป็นความกังวลของตลาดฯที่วิตกว่าจะกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น อีกทั้งยังต้องจับตาการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษในวันพรุ่งนี้ด้วย นอกจากนี้วันนี้ให้ติดตามตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งตลาดฯคาดว่าจะเพิ่มขึ้น

พร้อมให้แนวรับ 1,080-1,085 ถัดไป 1,070 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,115-1,120 ถัดไป 1,130-1,135 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (1 เม.ย.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,943.51 จุด ร่วงลง 973.65 จุด (-4.44%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,470.50 จุด ลดลง 114.09 จุด (-4.41%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,360.58 จุด ลดลง 339.52 จุด (-4.41%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 130.99 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 14.29 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 247.12 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.07 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 37.84 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.04 จุด

ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเด็ก

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (1 เม.ย.63) 1,105.51 จุด ลดลง 20.35 จุด (-1.81%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,985.79 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 เม.ย.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (1 เม.ย.63) ปิดที่ 20.31 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.8%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 เม.ย.) อยู่ที่ -1.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.12 อ่อนค่าสุดในรอบ 15 เดือน กังวลสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรุนแรง
  • นายกฯนัดศุกร์นี้ ถกครม. นัดพิเศษ มาตรการเยียวยาโควิดระยะ 3-4 หวังรับมือถึง ก.ค.นี้ จ่อตัดงบกระทรวงละ 10% พร้อมกฎหมายกู้เงิน จับตาประกาศใช้เคอร์ฟิวทั่วประเทศ "คลัง" เล็งแก้เว็บไซต์ "เราไม่ทิ้งกัน.com" ให้ผู้ลงทะเบียนพลาดแก้ข้อมูลหรือยกเลิกรับเงินเยียวยาแก้ปัญหาแจ้งข้อมูลเท็จ
  • "ศักดิ์สยาม" ติวเข้ม 13 หน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ปรับแผนเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 จำนวนกว่า 2.08 แสนล้านบาท ตั้งเป้าสิ้นเดือนกันยายน ต้องทำได้ทั้งหมด 100 พร้อมขู่ใช้เป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ทำไม่ได้ตามเป้าเตรียมใช้ประกอบพิจารณาผลงานแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งปลายปีนี้ พร้อมเตรียมจัดประชุมติดตามเบิกจ่ายงบลงทุนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 3 เม.ย.นี้
  • "สนธิรัตน์" มั่นใจแหล่งก๊าซเอราวัณ-บงกช จะผลิตได้ต่อเนื่องโดย ปตท.สผ.และพันธมิตรจะสามารถเข้าพื้นที่ได้ตามแผนหลังครม.ได้อนุมัติกรอบรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ และบงกชแล้ว พร้อมลุ้นผู้ประกอบการแหล่งเอราวัณถอนฟ้องอนุญาโตตุลาการ
  • รายงานข่าวจากธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวรายงานเศรษฐกิจสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยส่วนของประเทศไทยได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจใหม่ คาดว่าปีนี้ จีดีพีจะติดลบ 3% จากปัจจัยต่างๆ ที่สนับสนุนเศรษฐกิจไทยลดลง โดยเฉพาะส่งออกคาดปีนี้จะติดลบ 5.5% การนำเข้าติดลบ 3% บริโภคเอกชนติดลบ 1.8% บริโภคภาครัฐติดลบ 1.8% มีเพียงการลงทุนที่คาดขยายตัวเป็นบวก 1.7% ซึ่งเวิลด์แบงก์จะมีการเปิดเผยรายละเอียดอีกครั้งในวันที่ 2 เม.ย.นี้

*หุ้นเด่นวันนี้

  • CK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 24 บาท การก่อสร้างยังเป็นปกติ โดยมีมาตรการป้องกันคือลดการกระจุกตัวของคนในแต่ละช่วงเวลา พร้อมเพิ่มช่วงเวลาทำงานในแต่ละวันให้มากขึ้น ยังไม่มีความล่าช้าของงานและไม่ขาดแคลนแรงงาน ส่วนรถไฟฟ้าสีส้มตะวันตกและเดินรถตลอดเส้น มูลค่าราว 1.2 แสนล้านบาท ที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้ จะประมูลกลางปีตามกำหนดเดิม เป็นโอกาสของผู้รับเหมาทั้งกลุ่ม รวมถึงผู้เดินรถ และเสาเข็ม ขณะที่คาดว่ากลุ่ม CK-BEM มีโอกาสสูง
  • RATCH (เคทีบีฯ) ให้ราคาเชิงกลยุทธ์ 63 บาท มองนักลงทุนยังไม่มั่นใจในทิศทางตลาด การถือหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีความเสี่ยงต่ำ จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ขณะที่ผลกระทบจากการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อ RATCH น้อยเพราะรายได้มีสัญญาแบบ IPP (สัญญาจ้างผลิต) ซึ่งจะผันผวนตามปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากเท่า SPP พร้อมคาดกำไรปกติ 2562-2567 โตเฉลี่ย 5% ประเมินกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 7.6 พันล้านบาท หนุนโดยโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่ทยอย COD ประมาณ 1.5 GW เพิ่มขึ้น +23% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน ขณะที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจไฟฟ้าจากฐานเงินทุนและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทมี net D/E เพียง 0.4X เท่านั้น บริษัทมีการร่วมลงทุนกับ GULF ซึ่งเป็นบริษัทที่มี active investment ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับมีพัฒนาการที่ดีสำหรับโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ