บมจ.เอ็มดีเอ็กซ์ (MDX) ยื่นขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)พิจารณาให้บริษัทพ้นเหตุเพิกถอนและอนุญาตให้เปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เนื่องจากขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอนเสร็จสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ของตลท.
MDX ระบุว่า ปัจจุบันส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจากงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2550 ของบริษัท และบริษัทย่อยมีค่าเท่ากับ 477.53 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานในธุรกิจหลัก 3 ไตรมาสติดต่อกันหรือภายใน 1 ปีก่อนยื่นคำขอ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/49 ถึง ไตรมาส 1/50
ทั้งนี้กำไรจากการดำเนินงานในธุรกิจหลัก ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายที่ดิน รายได้ค่าเช่า (ค่าเช่าห้องพักอาคารคอนโดมิเนียมในนิคมเกตเวย์ฯ) รายได้ค่าบริการสาธารณูปโภค รายได้ค่าที่ปรึกษา ดอกเบี้ยรับ และรายได้จากธุรกิจไฟฟ้า (ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม) โดยไม่รวมรายการพิเศษเช่นรายได้ค่าบริหารจัดการ และรายได้อื่น
นอกจากนั้น ยังสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้มากกว่า 75 % ของมูลหนี้ทั้งหมด และสามารถจ่ายชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้ตามกำหนด โดย MDX ได้ดำเนินการแปลงหนี้เป็นทุนให้กับเจ้าหนี้รวม 3,099.63 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีทุนเรียกชำระแล้วทั้งสิ้น 4,755.93 ล้านบาท ภายหลังการแปลงหนี้เป็นทุนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมลดลงเหลือ 34.83%
งบการเงินรวมของ MDX สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.2550 มีหนี้สินรวมเพียง 1,720.36 ล้านบาทเทียบกับจำนวน 12,419.42 ล้านบาท ณ วันที่ 10 เม.ย.2545 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฯ มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือลดลง 86.15%
บริษัท มีรายได้จากการขายที่ดิน ซึ่งยังคงมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องนับจากไตรมาสที่ 2 ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้จะยังเป็นช่วงที่สถานการณ์ต่างๆในประเทศไม่ได้เอื้ออำนวยต่อบรรยากาศการลงทุนก็ตาม แต่การรับรู้รายได้จากการขายที่ดินมีลักษณะที่ไม่ส่ม่ำเสมอ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของธุรกิจ แต่ก็ได้ถูกชดเชยด้วยรายได้จากธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งรับรู้เข้ามาในรูปของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม
หากพิจารณาในด้านของสัดส่วนของรายได้ ก็จะพบว่ารายได้จากการขายที่ดินได้ลดสัดส่วนลงจาก 42.13% ของรายได้รวมจากการประกอบธุรกิจหลักในไตรมาสที่ 2/49 เหลือเพียง 21.38% ในไตรมาสที่ 1/50 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สูงขึ้นจากระดับ 38.05% ในไตรมาสที่ 2/49 เป็น 60.74% ในไตรมาสที่ 1/50
อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย และอัตรากำไรขั้นต้นจากค่าบริการสาธารณูปโภคอยู่ในอัตรา 60-70% ในส่วนของฐานะทางการเงินนั้น สิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2550 บริษัทมีหนี้สินเพียง 1,720.36 ล้านบาท เทียบกับ 8,062.48 ล้านบาท ณ 31 ธันวาคม 2548 ก่อนออกจากการฟื้นฟู ในขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นได้ปรับจากค่าลบจนมีค่าเป็นบวก โดยเพิ่มจากระดับ (5,825.23) ล้านบาท ณ 31 ธันวาคม 2548 เป็น 477.53 ล้านบาท ณ 31 มีนาคม 2550 ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ค่อยๆปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น บริษัทยังมีสภาพคล่องและความสามารถในการชำระดอกเบี้ยสูง และในที่สุดก็ส่งผลให้มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ค่อยๆปรับตัวสูงขี้นจนมาอยู่ที่ระดับ 1 บาทต่อหุ้น ในไตรมาสที่ 1/2550
ปัจจุบัน บริษัท มีธุรกิจหลัก 2 ประเภท คือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โครงการนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ซิตี้ ซึ่งเป็นดำเนินการร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)มีเนื้อที่ 5,183 ไร่ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐาน (Basic Industry)ลูกค้ากลุ่มใหญ่ราว 50 % จะอยู่ในประเภทอุตสาหกรรมรถยนต์และส่วนประกอบ
ในปี 2549 กระทั่งถึงปัจจุบัน สามารถขายที่ดินได้ 72 ไร่ ในปี 2549 ในไตรมาสที่ 1/50 ขายได้ 23 ไร่นอกจากนั้นยังมีลูกค้าที่ได้ลงนามจองซื้อที่ดินแล้วอีกเป็นจำนวนประมาณ 10 ไร่ ซึ่งคาดว่าน่าจะลงนามในสัญญาซื้อขายได้ในปี 2550 แนวโน้มในอนาคตน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์และส่วนประกอบ ทั้งที่เป็นลูกค้ารายใหม่และลูกค้าเก่าที่ต้องการซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นเพื่อขยายโรงงานอีกด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่พร้อมขายอีกประมาณ 600 ไร่
สำหรับธุรกิจด้านสาธารณูปโภคนั้นเป็นโครงการก่อสร้างและดำเนินการโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศต่างๆที่ตั้งอยู่บนแนวฝั่งแม่น้ำโขงรวมถึงประเทศไทย ภายใต้บริษัทร่วมทุน ประกอบด้วย โครงการเทิน-หินบูน เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 210 เมกกะวัตต์ เริ่มผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ในมี.ค.2541 และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยและสำรวจทางด้านเทคนิคและด้านผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม รวมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการส่วนที่ขยาย และการเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เกี่ยวกับเรื่องการรับซื้อกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
โครงการน้ำงึม 3 เป็นโครงการสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 440 เมกกะวัตต์ทางตอนเหนือของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขณะนี้ได้มีการก่อสร้างเบื้องต้นควบคู่ไปกับการเจรจากับกฟผ.เรื่องการรับซื้อกระแสไฟฟ้า และการจัดหาเงินกู้เพื่อใช้ในการก่อสร้าง รวมทั้งการจัดทำ Detailed Design คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มก่อสร้างได้ในราวปี 2552
โครงการโรงไฟฟ้าบางบ่อ เป็นโครงการโรงผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมขนาด 350 เมกกะวัตต์ เป็นรูปแบบของโครงการผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าอิสระ (IPP) เริ่มผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2546 เป็นต้นมา
MDX ระบุอีกว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัท ที่เข้าข่ายเป็น Strategic Shareholders ณ วันที่ 9 เมษายน 2550 มีจำนวนรวม 29 ราย ถือหุ้นรวม 388,885,942 หุ้น คิดเป็น 81.77% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งหุ้นดังกล่าวถูกห้ามขาย แต่ได้รับการผ่อนผันให้ทยอยขายได้ 25 % ใน 6 เดือนแรก คิดเป็นจำนวน 97,221,485 หุ้น
--อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--