โบรกฯเกอร์ ต่างปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 63 ลงมาอยู่แถว 1,150-1,397 จุด จากเมื่อต้นปี 63 ต่างมองเป้าดัชนี SET อยู่ในช่วง 1,640-1,800 จุด หลังเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ปีนี้มาอยู่ที่ -5% ถึง -22% จากก่อนหน้านี้ที่คาดจะเติบโต 7-12%
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เหลือของปีนี้สามารถซื้อลงทุนหุ้นได้หลายตัวมากขึ้น หลังจากที่ราคาหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยเฉพาะหุ้นที่มีการเติบโตดี ไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 มากนัก หลังจากจบเรื่องไวรัสแล้วน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งต่างแนะนำหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม ICT
ขณะที่หุ้นในกลุ่มห้างสรรพสินค้า, กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสายการบิน ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมให้ระวังกลุ่มการเงินอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ เนื่องจากรายได้อาจได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐฯที่ขอให้แบงก์ให้การสนับสนุนการช่วยเหลือผู้เดือดร้อน
พักเที่ยงดัชนีหุ้นไทย อยู่ที่ 1,134.32 จุด ลดลง 3.95 จุด หรือ 0.35% นับตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทย ลดลงราว 28%
โบรกเกอร์ เป้า SET (จุด) Earning Growth เคทีบี (ประเทศไทย) 1,397 -10% เคจีไอ (ประเทศไทย) 1,390 -11% อาร์เอชบี (ประเทศไทย) 1,200 -22% ฟินันเซีย ไซรัส 1,150 -5% ทิสโก้ 1,350 -15%
*KTBST แนะซื้อลงทุนหุ้นราคาลงลึก/เชียร์กลุ่ม PTT-ADVANC-GULF-IVL
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST กล่าวว่า ได้ทำการปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 63 มาที่ 1,397 จุด ลดลงจากเป้าเดิม 1,586 จุด หลังเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ปีนี้จะติดลบ 10% จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัว
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้สามารถซื้อลงทุนหุ้นได้หลายตัวมากขึ้นหลังจากมองว่าราคาหุ้นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยเฉพาะหุ้นที่มีการเติบโตดี และไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 มากนัก มองว่าหลังจากจบเรื่องไวรัสแล้วน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว แนะนำสะสมกลุ่ม PTT, ADVANC, GULF, PTTEP ส่วนหุ้นที่ลงลึกในกลุ่มปิโตรเคมีก็ให้เลือกสะสมได้บางตัว อย่าง PTTGC, IVL เป็นต้น
แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลงไปมาก จากสงครามน้ำมันที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วก็น่าจะตกลงกัน โดยมองว่าสงครามน้ำมันระหว่างรัสเซีย และซาอุดีอาระเบียน่าจะคลี่คลายได้มากขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
ขณะที่หุ้นในกลุ่มห้างสรรพสินค้าซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่แนะนำให้ลงทุน และให้ระวังกลุ่มการเงินด้วยมองว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มแบงก์ และสินเชื่อ อย่าง SAWAD เนื่องจากรายได้อาจได้รับผลกระทบจากการลดดอกเบี้ย และมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เดือดร้อน ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมก็ยังมีความเสี่ยง เพราะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้การลงทุนใหม่ชะลอออกไป แม้แต่บริษัทรถยนต์ก็ต้องหยุดผลิตและรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสก่อน
"ตอนนี้ปัจจัยเสี่ยงสำคัญสุดของตลาดฯเป็นเรื่องไวรัสโควิด-19 ทำให้ปัจจัยตัวอื่นเป็นเรื่องเล็กไปเลย ก็ยังไม่รู้ว่าไวรัสโควิด-19 จะอยู่กับเรานานแค่ไหน เรายังคาดไม่ได้จะจบเมื่อไหร่ ...เราคงจะต้องมองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไปปีหน้าแล้ว ซึ่งก็ต้องรอดูว่าจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน"นายมงคล กล่าว
*KGI เล็ง Q2/63 เป็นจุดพีคไวรัสระบาด/เชียร์กลุ่มสื่อสาร-โรงไฟฟ้า ปลอดภัย
นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI กล่าวว่า ขณะนี้ได้ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 63 มาอยู่ที่ 1,390 จุด ภายใต้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่คาดว่าจะจบในไตรมาส 2/63 คือสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสได้ คิดเป็น P/E 17.4 เท่า โดยปีนี้คาดว่า EPS จะมาอยู่ที่ 80 บาท/หุ้น คิดเป็น -11%
ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 น่าจะใกล้จุดพีคแล้ว โดยคาดจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/63 ดังนั้น Downside ของ SET ไม่น่าจะปรับตัวลงไปกว่านี้มากแล้ว จึงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 1 ปีขึ้นไป สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงไม่มาก ก็ให้ลงทุนหุ้นที่มีหนี้สินน้อย เทรด P/E ratio ต่ำ เผื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสจะลากยาว จึงแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มสื่อสาร อย่างหุ้น ADVANC, INTUCH และหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่แนะนำคือหุ้น EGCO, RATCH, BCPG เนื่องจากหนี้สินไม่มาก และธุรกิจก็ยังไปได้ดี
สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว และหุ้น AOT เนื่องจากราคาหุ้นลงมาลึกมาก เพียงแต่ช่วงนี้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง จึงควรจะเลือกลงทุนหุ้นที่ปลอดภัยก่อน
พร้อมให้จับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด และมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดจะทำได้แค่ไหน ส่วนเรื่องภัยแล้งตอนนี้ก็เป็นปัจจัยที่มองข้ามไปเลย
*RBHS ห่วงสภาพคล่องธุรกิจหลังเผชิญไวรัสโควิดถล่ม/เชียร์กลุ่มสื่อสาร-โรงไฟฟ้า ปลอดภัย
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) หรือ RHBS กล่าวว่า การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังไม่รู้ว่าจะจบได้เมื่อใด แต่หากพิจารณาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปีนี้ลงมาเหลือ -5.3% แล้ว ทำให้มีการปรับลดอัตราการเติบโตกำไร (Earning Growth) ของบริษัทจดทะเบียน มาอยู่ที่ -22% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 70 บาท/หุ้น จากที่ปีที่แล้ว 90 บาท/หุ้น ส่งผลให้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ลงมาอยู่ที่ 1,200 จุด ซึ่งเป็นการคิดรวมถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แล้ว
หุ้นที่ปลอดภัยในการลงทุนมองเป็นหุ้นที่ให้ปันผลดี และรับผลกระทบจากไวรัสโควิดน้อย ได้แก่ หุ้นในกลุ่มสื่อสาร, กลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งน่าลงทุน ส่วนหุ้นที่ไม่ควรลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ ซึ่งควรจะต้องหลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากจะเจอปัญหามากจากทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับบริษัทลูกค้าที่มีปัญหา, วิตกในเรื่องหนี้สินที่อาจจะมีมากขึ้น และยังเผชิญผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก เป็นต้น ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงานก็ควรจะหลีกเลี่ยงไปก่อน เพราะราคาน้ำมันลงลึก และไม่น่าจะขึ้นง่าย เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำมันหดตัวลงมาก โดยเฉพาะจากสายการบินที่หยุดบินชั่วคราว และยังมีสงครามน้ำมันเข้ามาอีก ทำให้มองว่า Supply น้ำมันในตลาดล้น
"ปัญหาที่อาจจะต้องเผชิญก็จะเป็นเรื่องหนี้เสียที่จะต้องระวัง, การขาดสภาพคล่องของธุรกิจ รวมถึงการจ่ายดอกเบี้ยในตลาดบอนด์ ซึ่งต่างก็เป็นเรื่องสำคัญ แม้แต่ในต่างประเทศก็ระวังจุดนี้เหมือนกัน"
*FSS เป้าใหม่ SET ปีนี้ 1,150 หลังไวรัสโควิดระบาดหนัก/เชียร์กลุ่มสื่อสาร-โรงไฟฟ้า
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า เป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ปรับลดลงมาเหลือ 1,150 จุด คิด P/E 14 เท่า ส่วนอัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ปีนี้จะอยู่ที่ 81.5 บาท/หุ้น หรือ -5% จากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 85 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นการประเมินถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แล้ว แต่ก็มีโอกาสที่จะปรับลดประมาณการกำไรในระดับที่ต่ำกว่า 81.5 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้จากที่จะต้องเผชิญการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้มองว่าหุ้นที่ยังปลอดภัยในการลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งน่าจะแข็งแกร่งกว่าตลาดฯได้ ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว แต่หากนักลงทุนต้องการจะลงทุนก็สามารถลงทุนได้ในระยะยาวแบบข้ามปีไปเลย เพราะกลุ่มท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างมาก
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักและสำคัญต่อตลาดฯ และในช่วงปลายปีนี้ก็ให้ติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
*TISCO วางเป้าดัชนี SET ปีนี้ที่ 1,350 ภายใต้การแพร่ระบาดไวรัสโควิดจบใน Q2/63
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ฝ่ายวิจัยได้มีการปรับเป้าหมายดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,350 จุด ภายใต้สมมติฐานการแพร่ระบาดไวรัสจบในไตรมาส 2/63 แต่ถ้าหากมีการยืดเยื้อออกไปก็จะต้องปรับลดเป้าหมายดัชนี SET อีกครั้ง คิด P/E 15 เท่า อัตราการเติบโตกำไร (Earning Growth) ปีนี้จะ -15% แต่ปี 64 คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัว +22%
โดยหุ้นที่ปลอดภัยในการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองหุ้นในกลุ่มค้าปลีก และกลุ่ม ICT ขณะที่หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ช้า เพราะแม้ว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้ แต่คนอาจจะยังไม่มั่นใจในช่วงแรก ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักเพราะคนกลัวไวรัสจะกลับมาอีก อย่างที่จีนก็มีบางคนที่ไวรัสกลับมาอีก จนกว่าจะมีวัคซีนรักษาไวรัสโควิด-19 ได้อย่างจริงจัง คนก็จะมั่นใจมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังต้องติดตามดูสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และการควบคุมจะสามารถควบคุมให้จบได้ในไตรมาส 2/63 หรือไม่ อีกทั้งให้ติดตามเสถียรภาพราคาน้ำมัน ซึ่งขณะนี้ก็ยอมรับว่าราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว พร้อมให้ติดตามนโยบายการคลังที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย