นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL)คาดว่า ปีนี้อัตราการเติบโตของรายได้จะลดลงมาเป็น 15% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 20% เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ว่าจะมีจำนวนเฉลี่ยที่ 2 แสนราย/วันตั้งแต่ไตรมาสแรก แต่จนถึงปัจจุบันมีจำนวนเฉลี่ยที่ 1.9 แสนราย/วันเท่านั้น และช่วงปิดเทอม(มี.ค.-พ.ค.)ก็ลดลงเหลือ 1.7 แสนราย/วัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงไตรมาส 3/50 จำนวนผู้โดยสารจะสามารถขยับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2 แสนราย/วันได้
ขณะที่รายได้ต่อหัวต่อเที่ยวอยู่ที่ 21 บาท ยังถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าของบมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ(BTS)ที่มีรายได้ 24 บาท/หัว/เที่ยว เนื่องจากทางบริษัทมีโปรโมชั่นลดราคามากกว่ารถไฟฟ้า BTS
"ผมหวังว่าหลังคอนโดฯ และ อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเลียบแนวรถไฟฟ้าใต้ดินจะแล้วเสร็จ และมีคนเข้ามาอาศัยในพื้นที่มากขึ้น จะช่วยทำให้ยอดผู้โดยสารเติบโต ยอมรับที่ผ่านมายอดผู้โดยสารเติบโตช้าไป เพราะอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้แล้วเสร็จช้า" นายสมบัติ กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าในปี 51 จะมียอดผู้โดยสารเติบโตมากขึ้น เนื่องจากมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายตากสิน รถบีอาร์ทีและแอร์พอร์ตเรลลิงค์ เพราะทุกส่วนจะต้องมีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินของบริษัท
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ชะลอการสั่งซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มอีกจำนวน 30 ขบวนออกไป เพราะจำนวนรถไฟฟ้าที่มีอยู่ปัจจุบันยังสามารถรองรับได้ถึง 3.3 แสนเที่ยว/วัน แต่หากจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นถึงจำนวนดังกล่าว บริษัทจึงจะสั่งซื้อ โดยวางแผนจะสั่งซื้อล็อตใหญ่คราวเดียว 30 ขบวนเพราะจะได้ราคาถูก แต่จะทยอยรับมอบ โดยจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท ซึ่งได้กันเงินลงทุนส่วนนี้ไว้แล้ว
นายสมบัติ กล่าวว่า บริษัทพร้อมเข้าประมูลเป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าทุกสายที่กำลังจะมีขึ้น และเชื่อว่ากรอบเวลาในการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าจะยังคงเดิม ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางซื่อ-บางใหญ่) จะยังเปิดประมูลในเดือนก.ย.นี้ เนื่องจากเป็นโครงการสาธาณูปโภคที่ให้ประโยชน์กับประชาชนและรัฐบาลก็ได้ผลงานและกระจายเงินภาครัฐ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในส่วนเมโทรมอลล์ ที่บริษัทย่อยดำเนินการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน มีแผนจะเปิดอีก 2 สาขา ที่สถานีจตุจักร และถนนกำแพงเพชร คาดว่าจะเปิดตัวในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ในส่วนสถานีสุขุมวิทและพหลโยธินที่เปิดไปก่อนหน้านี้ที่ผลการดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ดี
ส่วนการทำสัญญาสิทธิในพื้นที่โฆษณากับบริษัท ฮาวคัม จำกัด ซึ่งนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนด้วยนั้น นายสมบัติกล่าวว่า อายุสัญญายังเหลืออยู่ จากที่ได้ 7 ปี บริษัทก็ยังคงให้สิทธิตามนั้น โดยได้รับรายได้ค่าเช่าจากฮาวคัมเท่านั้น ไม่ได้รายได้จากส่วนแบ่งการทำธุรกิจโฆษณา เพราะยังมีรายได้ต่ำมาก
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--