นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/63 บริษัทเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนที่สร้างเสร็จตามแผน 2 โครงการแรก ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง มูลค่าโครงการกว่า 2,054 ล้านบาท และโครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน มูลค่าโครงการกว่า 1,680 ล้านบาท โดยปัจจุบัน มียอดการโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาแล้วกว่า 1,400 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องต่อในไตรมาส 2
ทั้งนี้ กลุ่มโครงการร่วมทุน (JV) ของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ทยอยร่วมทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายบริษัทมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 60 จนปัจจุบัน บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนสะสม มูลค่าโครงการรวมกว่า 35,434 ล้านบาท และโครงการโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ร่วมทุนสะสมอีกกว่า 9,200 ล้านบาท
"โครงการที่อยู่อาศัยร่วมทุนที่เปิดขายแล้วของเรามูลค่าโครงการรวมกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาโดยตลอด คิดเป็นยอดขายเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 90% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งในปี 63 จะมีโครงการร่วมทุนที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบจำนวน 4 โครงการ คือ 1. โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง มูลค่าโครงการ 2,054 ล้านบาท 2. โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 1,680 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการเริ่มทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 1
3. โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท วางแผนพร้อมส่งมอบภายในไตรมาส 3/63 และ 4. โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท วางแผนพร้อมส่งมอบภายในไตรมาส 4/63 คาดว่ารายได้ซึ่งเป็นผลจากโครงการร่วมทุนจะเข้ามาอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง" นายพีระพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร มูลค่าโครงการ 3,890 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีการโอนกรรมสิทธิ์สะสมแล้วถึงกว่า 3,100 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของมูลค่าโครงการ ขณะเดียวกันในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรอีกหลายโครงการก็ยังคงทยอยโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องตลอดทั้งปี
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด -19 ยังมีสถานการณ์ที่อำนวยต่อการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินช่วยเหลือผู้ซื้อบ้าน จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการผ่อนโครงการที่อยู่อาศัย คุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าเช่า ประกอบกับผู้ประกอบการต่างๆ ยังคงมีโปรโมชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสดีของกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่า
ทั้งนี้บริษัทยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเสริมช่องทางการตลาดอื่นๆ โดยจับมือกับ Lazada และ Shopee ทยอยออกแคมเปญตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมการออกมาตรการสร้างความมั่นใจด้านสุขภาพ ส่งผลให้ในไตรมาส 1 บริษัทมียอดขายแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 21% ของเป้ายอดขายทั้งปี
"ในวันที่ผู้บริโภคจำนวนมากต้อง Work From Home หน้าที่ของออริจิ้นคือ ต้องทำ Home ให้เวิร์ค ให้ได้คุณภาพ ให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจซื้อ มั่นใจในการโอนกรรมสิทธิ์ ช่วงที่ผ่านมาถือเป็นบทพิสูจน์สำหรับเราเช่นกัน ว่าเราสามารถปรับตัว สามารถพัฒนาโครงการคุณภาพ และสร้างความไว้วางใจให้ผู้บริโภคได้แค่ไหน วันนี้ยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการทั่วไป และโครงการร่วมทุนที่ออกมาได้ยืนยันถึงความสามารถในการขับเคลื่อนธุรกิจของเราแล้ว เราเองจะมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองต่อไป เพิ่มมูลค่าให้สินค้าใหม่ๆ บูรณาการการทำงานให้มีความยืดหยุ่น พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึง Home ที่เวิร์คได้ต่อไป" นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะยังเดินหน้าพิจารณามาตรการใหม่ๆ 3 ด้านอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1.มาตรการเพื่อผู้บริโภค ทั้งเพื่อกลุ่มที่กำลังพิจารณาจะซื้อโครงการของออริจิ้น และกลุ่มที่ปัจจุบันเป็นลูกบ้านออริจิ้นแล้ว 2.มาตรการเพื่อพนักงาน และ 3.มาตรการเชิงธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ๆ ในรูปแบบ Open Platform เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้บริโภค พร้อมทั้งพิจารณาปรับปรุงแผนธุรกิจให้ยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้ภายใต้ทุกสถานการณ์ รองรับทั้งสถานการณ์ COVID-19 และสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงจาก Digital Disruption ที่ถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้น ดำเนินธุรกิจพร้อมทั้งส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพให้ผู้บริโภคได้ตามเป้าหมาย คาดว่าจะเห็นมาตรการใหม่ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องในเดือน เม.ย.นี้
สำหรับปี 63 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท และเป้ายอดขายที่ 21,500 ล้านบาท