นายพระนาย กังวาลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดการณ์รายได้จากการดำเนินงานปี 63 จะเติบโต 5-10% จากปีก่อนที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 3,211 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน 111 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่ารายได้จะสามารถเติบโตได้ 20% โดยเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้ธุรกิจธุรกิจออกแบบ จำหน่าย และติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าและตรวจวัดจัดการสภาพแวดล้อม ที่โครงการต่าง ๆได้มีการชะลอตัวออกไป
ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายและขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลว ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นกัน โดยการเดินทางของประชาชนปรับตัวลดลง การใช้ก๊าซของโรงงานต่าง ๆ ในการผลิตก็ต่ำลงด้วย จึงส่งผลให้ในปีนี้ยอดขายจะปรับตัวลดลงตาม
อย่างไรก็ตามบริษัทยังได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าพลังงานหลัก ในปีนี้ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือน เม.ย. บริษัทจะมีโรงไฟฟ้าชีวภาพกำลังการผลิต 5.6 เมกะวัตต์ (MW) ที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เพิ่ม และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อที่จะเพิ่มสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) ในปีนี้อีก 20 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุนการเติบโตจากปีก่อนที่มีกำลังการผลิตรวม 30 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) ราว 3,000 ล้านบาท ที่จะสามารถรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ราว 1,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทก็ได้มีการติดตามงานใหม่ ๆ เพื่อที่จะเตรียมพร้อมเข้าประมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่เตรียมที่จะเข้าประมูล 5-6 โครงการ มูลค่าราว 500 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/63 และหากมีการเปิดประมูลงานใหม่ก็พร้อมที่จะเข้าประมูลทันที
"แม้เราจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า และการจำหน่ายก๊าซก็ตาม แต่ในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทน และรับเหมาก่อสร้างยังสามารถเติบโตได้ดี ในขณะเดียวกันปีนี้เราจะสามารถรับรู้รายได้จากบริษัทย่อย BIGGAS ในสัดส่วนการถือหุ้น 100% เข้าเต็มปีด้วย จะทำให้รายได้จากการดำเนินงานปีนี้ทรงตัว หรือเติบโตกว่าปีก่อน 5-10%"นายพระนาย กล่าว
นายพระนาย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติแบบนี้ บริษัทจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก รวมไปถึงการเจรจากับธนาคารเพื่อที่จะลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ของบริษัทด้วย
สำรับแผนการรวมมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) เป็นมูลค่า 0.50 บาท/หุ้น จาก 0.10 บาท/หุ้น และขอย้ายหุ้นไปซื้อขายในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากปัจจุบันซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ยังคงดำเนินการไปตามแผน แม้ว่า Market Cap จะอยู่ที่ราว 3,500 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทใช้เกณฑ์ของกำไร และ พาร์ ในการย้ายเข้าจดทะเบียนใน SET
"ปัจจุบันเราต้องรอดูว่าจะสามารถประชุมผู้ถือหุ้นได้ตามแผนที่วางไว้ช่วงปลายเดือน เม.ย. หรือไม่ ซึ่งเรายังคงดำเนินตามแผนที่วางไว้ว่าจะย้ายเข้าแทรดใน SET แม้ว่าปัจจุบัน Market Cap จะไม่เข้าเกณฑ์ที่ 7,500 ล้านบาท แต่เราไม่ได้ใช้เกณฑ์ดังกล่าวในการย้าย เราใช้เป็นส่วนของเกณฑ์กำไร และ พาร์ ที่จะมากำหนดจึงคาดว่าจะไม่มีปัญหา"นายพระนาย กล่าว