นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมได้ 1.95 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีนี้ที่ยังคงไว้ระดับ 2.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มการขายในช่วงไตรมาส 1/63 นับว่าประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เข้ามากระทบการขายบ้างในช่วงเดือนมี.ค. แต่ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านแนวราบ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่ตอบโจทย์กลุ่ม Real Demand ซึ่งลูกค้าให้ความสนใจอย่างมาก ประกอบกับการออกแคมเปญ "โปรลื่นปรื้ด" ช่วยกระตุ้นการขายได้เป็นอย่างดี ทำให้มีลูกค้าเข้ามาชมโครงการ และซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายรวมในช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่สถานการณ์การขายในช่วงไตรมาส 2/63 ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเม.ย. ยังมีนัดลูกค้าเข้ามาชมโครงการอยู่ต่อเนื่อง และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ยังสามารถทำยอดขายเข้ามาได้ดี รวมถึงการขยายระยะเวลาแคมเปญ "โปรลื่นปรื้ด" ออกไปจนถึงสิ้นเดือนมิ.ย. 63 สำหรับโครงการที่พร้อมอยู่ พร้อมกับเพิ่มโปรโมชั่นช่วยลูกค้าผ่อนนานสูงสุด 24 เดือน โดยร่วมกับธนาคารที่เป็นพันธมิตร ซึ่งมองว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีต่อเนื่อง ทำให้บริษัทคาดว่ายอดขายในไตรมาส 2/63 จะทำได้ 8.5 พันล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายจากโครงการแนวราบ 4.5 พันล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 4 พันล้านบาท
นอกจากนี้ในไตรมาส 2/63 เตรียมเปิดอีก 4 โครงการแนวราบ บน 3 ทำเล คือ กรุงเทพกรีฑา รามอินทรา และวัชรพล มูลค่าโครงการรวม 1.41 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบแบรนด์เศรษฐสิริ และบุราสิริ ระดับราคา 8–20 ล้านบาท ที่เป็นแบรนด์ช่วยสร้างยอดขายได้ดีในปี 63 จากการที่กลุ่มลูกค้าระดับบนได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจน้อย และยังมีทั้ง Real Demand และ New Demand ที่กำลังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อการอยู่อาศัยเองและขยับขยายครอบครัวอีกเป็นจำนวนมาก โดยจะมีการเปิดโครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 มูลค่า 3.5 พันล้านบาท โครงการเศรษฐสิริ พหล-วัชรพล มูลค่า 3.7 พันล้านบาท โครงการบุราสิริ วัชรพล มูลค่า 3.4 พันล้านบาท และโครงการบุราสิริ ปัญญาอินทรา มูลค่า 3.5 พันล้านบาท
ส่วนทั้งปีนี้บริษัทยังคงแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวมจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 2.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 1.52 หมื่นล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 8.8 พันล้านบาท และปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 4.95 หมื่นล้านบาท จากโครงการแนวราบ 7.9 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4.16 หมื่นล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้ในปีนี้ 1.79 หมื่นล้านบาท และมีสต็อกพร้อมขายราว 1 หมื่นล้านบาท
นายอาณัติ กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์การโอนและการขอสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในขณะนี้ถือว่ายังมีการโอนตามปกติ ไม่ได้พบปัญหาของการโอนและการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่ทำให้บริษัทเกิดความกังวล แม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะคลี่คลายเมื่อใด แต่บริษัทมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าในด้านการโอนและการช่วยปรึกษาและเตรียมความพร้อมก่อนการยื่นขอสินเชื่ออย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ทุกราย โดยเฉพาะการโอนโครงการแนวราบที่เป็นโครงการที่สามารถโอนได้ในทันที ซึ่งบริษัทยังคงเป้าหมายการโอนโครงการแนวราบในปีนี้ไว้ที่ 1.54 หมื่นล้านบาท และยอดขายโครงการแนวราบที่ 1.59 หมื่นล้านบาท