ทริสเรทติ้งยกเลิก "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท พร้อมทั้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ดังกล่าวของบริษัทมาอยู่ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกลุ่ม ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับธุรกรรมการรวมกิจการระหว่าง ธนาคารทหารไทย (TMB) และ ธนาคารธนชาต (TBANK) เสร็จสิ้นลงในเดือนธันวาคม 2562
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายจากกลุ่มบริษัทลูกของ TCAP ระดับของการก่อหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่น่าพอใจ
การประเมินสถานะทางธุรกิจโดยรวมของ TCAP พิจารณาถึงความแน่นอนและความหลากหลายของที่มาของรายได้ ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและผลกำไรที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพของธุรกิจที่อยู่ภายใต้งบการเงินรวม ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจเช่าซื้อของ บมจ.ราชธานีลีสซิ่ง (THANI) ธุรกิจหลักทรัพย์ของ บล.ธนชาต และธุรกิจประกันวินาศภัยของ บมจ.ธนชาตประกันภัย สำหรับแหล่งที่มาของกำไรจากการดำเนินงานของ TCAP นั้นประกอบด้วยส่วนแบ่งกำไรจากธนาคารพาณิชย์จากการถือหุ้น 20% ของ TMB และกำไรจากการดำเนินงานของ THANI บล.ธนชาต และ บมจ.ธนชาตประกันภัย
ทริสเรทติ้งคาดว่า TCAP จะสามารถคงระดับของฐานทุนที่มีความแข็งแกร่งไว้ได้ โดยวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน และความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยประมาณการอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับต่ำกว่า 1.5 เท่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า เทียบกับระดับ 1.2 เท่า ณ สิ้นปี 2562 การประมาณการยังใช้สมมติฐานว่าตราสารหนี้ของบริษัทจะอยู่ในระดับประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 2 ปีข้างหน้า ลดลงจากระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทลูกจะยังคงรักษาส่วนของทุนที่มีความแข็งแกร่งได้ในระยะปานกลาง ในส่วนของความสามารถในการทำกำไร ทริสเรทติ้งยังประมาณการอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ถัวเฉลี่ยแบบปรับเป็นตัวเลขปกติที่ระดับไม่ต่ำกว่า 3.5% ในปี 2563-2565
สถานะความเสี่ยงโดยรวมของ TCAP อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นปี 2562 กว่า 80% ของเงินลงทุนส่วนเฉพาะของบริษัทอยู่ในตราสารหนี้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ สำหรับสถานะความเสี่ยงที่ระดับของบริษัทลูก ทริสเรทติ้งได้ประเมินการบริหารความเสี่ยงของแต่ละบริษัทเป็นหลัก ความเสี่ยงจากเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่อยู่ในระดับปานกลางของ บล.ธนชาต การควบคุมความเสี่ยงเครดิตที่มีความเข้มงวด และกลยุทธ์การลงทุนที่เป็นกลางต่อตลาด (Market-neutral) น่าจะช่วยจำกัดความเสี่ยงของธุรกิจหลักทรัพย์ได้ สำหรับ THANI ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากกลุ่มลูกหนี้ที่มึความเสี่ยงสูง แต่ทริสเรทติ้งก็ยังมองว่าบริษัทยังมีนโยบายทางเครดิตที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมและยังมีปริมาณเงินสำรองที่เหมาะสม
แหล่งเงินทุนของ TCAP อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพ (Stable Funding Ratio – SFR) โดยคำนวณจากงบการเงินรวมจะอยู่ที่ระดับใกล้เคียง 110% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า สำหรับส่วนของ TCAP ณ สิ้นปี 2562 มีส่วนของทุนเป็นสัดส่วนกว่า 75% ของแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพ ที่เหลือเป็นตราสารหนี้ระยะยาวที่มีกำหนดการครบชำระที่มีการกระจายตัว ความต้องการแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพ (Stable Funding Needs – SFN) ประกอบด้วยเงินลงทุนในบริษัทลูกและบริษัทในเครือ (50%) และเงินกู้ยืมที่ยังไม่ครบกำหนดภายใน 1 ปี (35%) และทรัพย์สินรอการขาย (4%)
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ไม่มีการกระจุกตัวของทรัพย์สินหรือหนี้สินที่เป็นส่วนเฉพาะของบริษัท และยังประเมินอัตราส่วนความครอบคลุมสภาพคล่อง (Liquidity Coverage Measure – LCM) โดยคำนวณจากงบการเงินรวมที่ระดับใกล้เคียง 100% โดย ณ สิ้นปี 2562 สินทรัพย์สภาพคล่องประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตราสารหนี้ภาคเอกชน และเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารที่ครบกำหนดระยะสั้น ในขณะที่แหล่งเงินทุนระยะสั้นประกอบด้วยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารและหนี้สินและเงินกู้ยืมซึ่งโดยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับของบริษัทลูก
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า TCAP จะสามารถรักษาฐานทุนที่มีความแข็งแกร่ง มีการบริหารความเสี่ยงที่มีความเข้มงวด มีการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยง รวมถึงมีสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่อยู่ในเกณฑ์ดี
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีอยู่ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจมีการปรับลดลงหากฐานทุนโดยวัดจากอัตราส่วนอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มสูงขึ้นเกินระดับ 1.5 เท่า และ/หรือสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ