LALIN คาดยอดขายปี 50 ใกล้เคียงปี 49 ที่ 2 พันลบ./ยึดพัฒนาตามแนวรถไฟฟ้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 3, 2007 12:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายวีระพล โชควิทยารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  สายงานการตลาดและการขาย บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้  (LALIN) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะสามารถรักษาการเติบโตของยอดขายใกล้เคียงปีก่อนที่มียอดขาย 2 พันล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 40%  เพราะ เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง ธุรกิจน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งพิจารณาได้จากผู้ที่มาเยี่ยมชมโครงการมากขึ้นในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีภาวะการขายซบเซา 
นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จะช่วยกระตุ้นการขาย และยังเชื่อว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะชดเชยยอดขายในครึ่งแรกของปีที่ชะลอตัวออกไปตามอุตสาหกรรมประมาณ 20-25%
"เราเชื่อว่าในครึ่งหลัง ภาพรวมอสังหาฯจะดีขึ้น รอเพียงแต่การเมืองชัดเจน และ รัฐบาลช่วยกระตุ้นการลงทุน และโครงการรถไฟฟ้าจะทำให้คนหันมาซื้อบ้านที่ติดแนวรถไฟฟ้า ที่ปัจจุบันภาพรวมมีบ้านเดี่ยวติดแนวรถไฟฟ้า มี 2-3 แห่ง ขณะที่คอนโดฯมองว่าจะเติบโตในทิศทางที่ลดลง" นายวีระพลกล่าว
ทั้งนี้ ในปีนี้ บริษัทจะหันมาซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการภายใน 3-6 เดือนโดยยังเน้นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่ติดแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งบริษัทได้เปิดตัวโครงการไปแล้ว ได้แก่ โครงการบุรีรมย์ บางใหญ่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ซึ่งติดแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางซื่อ-บางใหญ่) ขณะนี้สามารถขายได้แล้ว 200 กว่ายูนิต เหลือเพียง 60-70 ยูนิต เท่านั้น
ส่วนอีก 2 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง ทำให้ปีนี้บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 4 โครงการ
**ซื้อที่ดินแล้ว 600-700 ลบ.ติดแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง-ม่วง
นายไชยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร LALIN กล่าวว่า บริษัทได้ใช้งบซื้อที่ดินแล้ว 600-700 ล้านบาท จากงบที่ตั้งไว้ 1 พันล้านบาทในปีนี้ โดยที่ดินที่เข้าซื้ออยู่แนวรถไฟฟ้าสีแดง(บางซื่อ-ตลิ่งชัน)และ สีม่วง ซึ่งจะสอดคล้องกับควมต้องการของผู้บริโภค ที่หันมาซื้อบ้านที่ติดแนวรถไฟฟ้ามากชึ้น
ทั้งนี้ มองว่า ในครึ่งปีหลังนี้ ธุรกิจภาพรวมจะปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากความชัดเจนในเรื่องทางการเมือง จะทำให้ผู้บริโภคที่ยังไม่กล้าตัดสินใจซื้อกลับมาพิจารณาซื้อใหม่
ปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา อยู่ที่ภาครัฐจะต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุน หรือเกิดการประมูลซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของภาคการลงทุนเกิดขึ้น รวมทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ที่มีสัญญาณน่าจะปรับลดอีก หลังจากที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เป็นผู้นำในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะ ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันด้านสินชื่อที่อยู่อาศัย จะส่งผลดีกับผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยการเมือง ยังเป็นปัจจัยที่จะต้องจับตาอยู่ ซึ่งจะเป็นตัวแปรให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านและมีการเลือกตั้งจะทำให้ภาพรวมของประเทศไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น และจะกระตุ้นผู้บริโภค

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ