หุ้น SCCC ราคาไหลลง 4.47% มาอยู่ที่ 117.50 บาท ลดลง 5.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 37.83 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.25 น. โดยเปิดตลาดที่ 124 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 124 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 115 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯ โดยคาดว่ากำไรของบมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ในไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 775 ล้านบาท ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศในไตรมาสแรก ที่คาดจะปรับลดลง 4-5%YoY และ ราคาขายคาดจะลดลง 1-2%YoY ถูกกระทบจาก โควิด-19 และงบประมาณที่ล่าช้า ส่วนตลาดต่างประเทศ เวียดนามยังมีปัญหาใบอนุญาตก่อสร้าง และเคอร์ฟิว รวมถึงศรีลังกามีการใช้เคอร์ฟิวตั้งแต่ 17 มี.ค.
ทั้งนี้ ประเมินว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในวงกว้าง และรุนแรง ประเทศไทย เวียดนาม และ ศรีลังกา มีการใช้เคอร์ฟิวต่อเนื่องถึงเดือน เม.ย. รวมถึงโรงงานในไทยได้ปิดสายการผลิต K1 ซึ่งเป็นโรงงานเก่า ประสิทธิภาพต่ำ ทำให้กำลังการผลิตลดลง 13% ดังนั้น จึงปรับลดประมาณการยอดขาย และ กำไรปี 63 ลง 10% และ 15% ตามลำดับ เหลือ ยอดขาย 42,834 ล้านบาท ลดลง 10%YoY และ กำไร 2,979 ล้านบาท ลดลง 6%YoY ทั้งนี้ ปี 62 มีค่าใช้จ่ายพิเศษสูงถึง 500-700 ล้านบาท
SCCC ได้ออกประกาศจะปิดสายการผลิต (Mothball) โรงงาน K1 ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 63 เป็นต้นไป ทั้งนี้ SCCC มีโรงงานผลิตทั้งหมด 6 สายการผลิต คือ K1 (กำลังการผลิต 4,500 ตัน/วัน) K2 (กำลังการผลิต 3,500 ตัน/วัน ซึ่งได้หยุดมานานแล้ว) K3 (กำลังการผลิต 5,000 ตัน/วัน) K4 (กำลังการผลิต 5,000 ตัน/วัน) K5 (กำลังการผลิต 10,000 ตัน/วัน) K6 (กำลังการผลิต 10,000 ตัน/วัน) โดย K1 และ K2 เป็นโรงงานเก่าตั้งแต่ก่อตั้ง SCCC มาประมาณ 50 ปีแล้ว จึงมีประสิทธิภาพต่ำ ต้นทุนสูง การหยุดสายการผลิต K1 จะทำให้กำลังการผลิตในประเทศลดลง 13% จากปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามราคาหุ้น SCCC ตั้งแต่ต้นปีทรุดลงหนักถึง 35% ปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่น่าสนใจ ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน 6.3% จึงคงแนะนำ"ซื้อลงทุน" ราคาเป้าหมาย 180 บาท