นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาต รองกรรการผู้จัดการอาวุโส รองสายงานบัญชีและการเงิน บมจ.ซีพีออลล์ (CPALL) เปิดเผยในรายการ CFO ชวนคุยว่า บริษัทมองการเติบโตในอดีตอาจจะไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานของตัวเลขในปัจจุบัน และอนาคตได้ เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างค่อนข้างมาก แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะกระทบในระยะสั้นเท่านั้น
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 เบื้องต้นภาพรวมตัวเลขไม่ค่อยดี โดยคาดว่ายอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) น่าจะติดลบเล็กน้อย ส่วนตัวเลขในเดือน เม.ย.นี้ มองว่ามีความท้าทายมาก เนื่องจากรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว และงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประกอบกับในปีที่แล้วมีวันหยุดสงกรานต์ แต่ปีนี้ไม่มี
"ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ยอมรับว่ารายได้ลดลง จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน แต่เราก็มีการรีวิวกันทุกเดือน และได้ประเมินสถานการณ์ทั้งในกรณีที่ดีที่สุด จนไปถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด โดยสิ่งสำคัญอันดับแรกจะดูเรื่องของเงินทุนหมุนเวียน หรือ Cash Flow from Operating Activities หากไม่มีเงินสดไหลเข้า จะกระทบกับเงินที่เราสำรองไว้อย่างไร และภาระผูกพันหนี้สิน มีกำหนดจ่ายจะทำอย่างไร" นายเกรียงชัย กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีสาขาร้านสะดวกซื้อ 7-11 รวมทั้งสิ้น 11,000 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 44% และต่างจังหวัด 56% โดยมียอดขายต่อสาขา 80,000 บาทต่อวัน และมีสัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติคิดเป็น 1% ของลูกค้าทั้งหมด ขณะที่ลูกค้าคนไทยจะอยู่ราว 10 ล้านคนต่อวัน
สำหรับกลยุทธ์ในภาพรวมของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ Commercial Strategy และ Corporate strategy, Risk Management, Crisis Management ซึ่งเรื่องที่สำคัญที่สุด บริษัทยังให้ความสำคัญในเรื่องของพนักงานและลูกค้า โดยเรื่องของพนักงาน บริษัทตั้งเป้าเป็น Zero Covid ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบว่ามีพนักงานติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพียงแต่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น รวมถึงก็มีการยกระดับความสะอาด และมาตรการป้องกันต่าง ๆ
ขณะเดียวกันเรื่องของลูกค้า บริษัทก็มีมาตรการที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจ โดยมีการทำความสะอาดร้านค้าตามเวลาที่กำหนดไว้ และติดป้ายที่หน้าร้านในการจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ที่ใส่หน้ากากอนามัยเท่านั้น หากลูกค้าท่านใดไม่ได้ใส่หน้ากากมา พนักงานจะอำนวยความสะดวก โดยการสั่งซื้อสินค้าและนำมาให้ที่หน้าร้าน
ส่วนด้านการเงิน บริษัทค่อนข้างมั่นใจว่ายังมีเสถียรภาพทางการเงิน จากการบริหารจัดการเงินทุนหนุมเวียน เงินกู้ระยะสั้น และเงินทุนระยะยาว โดยแผนการลงทุนขยายสาขาจากนี้ บริษัทจะรอดูว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายได้ในระยะสั้นนี้หรือไม่ หากคลี่คลายได้ แผนการลงทุนขยายสาขาจะเป็นไปตามเป้าหมายเดิม แต่สิ่งที่จะโฟกัสอาจจะเปลี่ยนแปลงไปมุ่งเน้นเรื่องของเทคโนโลยีมากขึ้น, ลงทุนเรื่องของแพลตฟอร์มดิลิเวอรี่ เพื่อตอบสนองกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หรือ จำหน่ายสินค้าผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ (VENDING MACHINE) มากขึ้น เป็นต้น
"แผนการขยายสาขาของ CPALL จากนี้ ทางผู้ประกอบการต้องมั่นใจก่อนว่ายอดขายต่อสาขาเดิม ต่อวัน ยังเติบโตได้หรือไม่ ถ้ายืนยันว่ายังทำได้ก็สามารถเปิดร้านค้าได้ แต่ในเชิง Commercial ก็มองว่าอาจจะเปิดได้ แต่อาจจะได้ไม่เหมือนเดิม เช่น การดีไซต์ร้านใหม่ การปรับเปลี่ยนรูปแบบร้าน อย่าง VENDING MACHINE และรับส่งพัสดุ ภายใต้ชื่อ สปีด-ดี (Speed-D)" นายเกรียงชัย กล่าว
ขณะที่ในปีนี้ CPALL ก็เตรียมออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ก็มีการวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้วหากหุ้นกู้ออกได้ต่ำกว่าเป้าหมาย
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังให้ความช่วยเหลือกับ Business Partner โดยผ่อนคลายเกณฑ์บางอย่าง และสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรเพื่อให้ผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปให้ได้ โดยได้ให้ความมั่นใจว่า CPALL จะไม่มีการปลดพนักงาน รวมถึงงดเก็บค่าบริการระบบไอที และการเข้าไปทำความสะอาดร้าน
นายเกรียงชัย กล่าวว่า ด้านความคืบหน้าการลงทุนในบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. เมื่อต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายไปแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากมีเงื่อนไขหลักคือ ทางผู้ขาย หรือ Tesco UK ต้องได้มติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ Tesco UK สำหรับการขายหุ้นในกลุ่มเทสโก้เอเชีย ส่วนเงื่อนไขผู้ซื้อ จะต้องขออนุญาตทางการทั้งในประเทศมาเลเซีย และประเทศไทย โดยของไทย คือ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) บริษัทฯ คาดว่าน่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในครึ่งปีหลังนี้ หลังจากนั้นก็จะสามารถปิดดีลและชำระเงินได้