บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ของบมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) เป็น ‘A-(tha)’ จาก ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ
ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวสำหรับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันของบริษัทฯ เป็น ‘A-(tha)’ จาก ‘A(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของบริษัทฯ เป็น ‘F2(tha)’ จาก ‘F1(tha)’
การปรับลดอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันของ BAFS เป็นอย่างมากในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินของโลก ซึ่งมีความไม่แน่นอนและไม่น่าจะรวดเร็วนักในปี 2564
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การฟื้นตัวที่ล่าช้าจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส: ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS จะลดลง 52-53% ในปี 2563 หลังจากการประกาศยกเลิกเที่ยวบินเกือบทั้งหมดเป็นเวลา 1-2 เดือนโดยสายการบินหลักๆ โดยเฉพาะสายการบินที่มีศูนย์การบินหลักอยู่ที่สนามบินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยฟิทช์มองว่าอัตราการฟื้นตัวไม่น่าจะรวดเร็วนัก และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่มีต่ออุตสาหกรรมการบินของโลกน่าจะมีความยืดเยื้อ ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานจะปรับตัวกลับมาอยู่ในระดับประมาณ 70% และ 90% ของระดับก่อนการเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ในปี 2564 และปี 2565 ตามลำดับ ซึ่งทำให้สถานะทางการเงินของ BAFS อ่อนแอลงจากอัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้น
อัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้น: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ที่วัดจากหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO net leverage) จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 13 เท่าในปี 2563 (ปี 2562 อยู่ที่ 3 เท่า) อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS จะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 7 เท่า จากการค่อยๆ ฟื้นตัวของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในปี 2564 และลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันในปี 2565
ค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูง: การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแผนค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูงประมาณ 2.7 พันล้านในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งส่วนใหญ่คือสำหรับโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทย ที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT ซึ่งบริษัทย่อยของ BAFS ฟิทช์คาดว่าโครงการดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จ ณ สิ้นปี 2563 (เลื่อนมาจากเดิมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2563)
การลงทุนใหม่ที่อาจเกิดขึ้น: BAFS ได้มีการเข้าร่วมประมูลในรูปกิจการร่วมค้า สำหรับโครงการระบบเติมน้ำมันอากาศยานของสนามบินอู่ตะเภาแห่งใหม่ ซึ่งจะเป็นสนามบินหลักในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะเพิ่มสูงขึ้น หากกิจการร่วมค้าของ BAFS ชนะการประมูล นอกจากนี้ BAFS ยังมีการศึกษาหาโอกาสทางการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งฟิทช์อาจมีการพิจารณาทบทวนอันดับเครดิตของ BAFS เมื่อมีการลงทุนเกิดขึ้น
ความเสี่ยงด้านอุปสงค์ของโครงการท่อขนส่งน้ำมัน: โครงการท่อขนส่งน้ำมันของ FPT ซึ่งเป็นท่อขนส่งน้ำมันเส้นแรกในภาคเหนือของประเทศไทย มีความเสี่ยงในการหาลูกค้าเพื่อมาใช้บริการ โครงการระยะที่ 1 ได้เปิดดำเนินการและให้บริการขนส่งน้ำมันส่วนหนึ่งให้แก่บริษัทน้ำมันรายใหญ่ในประเทศไทยเกือบทุกราย แม้ว่าจะยังไม่มีสัญญาระยะยาวในการขนส่งน้ำมัน ฟิทช์เห็นว่าความเสี่ยงในการหาลูกค้ามาทำสัญญาได้รับการบรรเทาลงจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในบริเวณที่ท่อขนส่งน้ำมันให้บริการที่มีอย่างต่อเนื่อง ค่าบริการที่แข่งขันได้กับการขนส่งด้วยวิธีการอื่น โดยเฉพาะทางรถบรรทุก นอกจากนี้ ฟิทช์เห็นว่าการเปลี่ยนวิธีขนส่งน้ำมันมาใช้ระบบท่อขนส่ง น่าจะมีปัจจัยสนับสนุนจากเหตุผลด้านความปลอดภัย สังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง: BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว และเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยาน (โดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 89) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานแต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง BAFS อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อยและได้รับประโยชน์จากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่สูงของผู้บริการรายใหม่ เนื่องจากผู้ให้บริการต้องได้รับการอนุญาตจากท่าอากาศยานนั้นๆ จึงจะให้บริการได้ ในขณะที่โครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยของ FPT น่าจะช่วยทำให้ BAFS มีการการะจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดีขึ้นและมีขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า
ความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาน้ำมันที่จำกัด: BAFS ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เนื่องจาก BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น (โดยบริษัทน้ำมันเป็นผู้ขายน้ำมันให้แก่สายการบิน) นอกจากนี้ ต้นทุนหลักของ BAFS เป็นค่าสัมปทานซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันก่อนตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
ลักษณะของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ BAFS มีความคล้ายคลึงกับบ,0. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (GPSC) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทหลักในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่มบมจ. ปตท. (PTT) (อันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) รายได้ของ GPSC ส่วนใหญ่มาจากสัญญาการขายไฟฟ้าและไอน้ำ กับลูกค้าซึ่งมีสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ทั้งสองบริษัทจึงมีรายได้ที่สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์ได้ แต่ธุรกิจของ GPSC น่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 น้อยกว่า แม้ว่าปัจจุบัน GPSC จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า BAFS แต่ก็ชดเชยด้วยสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าด้วยขนาดของธุรกิจที่ใหญ่กว่า ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ดีกว่า โดยเฉพาะหลังจากการเข้าซื้อกิจการของบมจ. โกลว์ พลังงาน (GLOW) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า รวมถึงลักษณะรายได้ที่มีสัญญาระยะยาวรองรับ
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ซึ่งน่าจะยืดเยื้อเกินกว่าปี 2564 ดังนั้น BAFS จึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของ GPSC ที่ a(tha) โดยอันดับเครดิตของ GPSC ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับเพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับกลุ่ม ปตท.
เมื่อเปรียบเทียบกับ บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย BAFS มีรายได้ที่สามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงกว่า CPALL แต่ CPALL มีสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งมาก ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่นับจากจำนวนร้านค้าที่มากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับที่สองเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ CPALL ยังขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้มีความผันผวนในรายได้และอัตรากำไรที่ต่ำ CPALL มีขนาดของธุรกิจและกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ใหญ่กว่า BAFS มาก
ปัจจุบัน BAFS และ CP ALL มีอัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม CPALL กำลังอยู่ในกระบวนการเข้าซื้อกิจการเทสโก้โลตัส ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หากการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวสำเร็จ อัตราส่วนหนี้สินของ CPALL น่าจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งชดเชยกับสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นและขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ดังนั้น BAFS จึงได้รับการจัดอันดับเครดิตต่ำกว่า CPALL หนึ่งระดับ
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานลดลงในอัตราร้อยละ 52-53 ในปี 2563 และฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับประมาณ 70% และ 90% ของระดับก่อนการเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ในปี 2564 และปี 2565 ตามลำดับ
- รายได้ของ FPT ลดลงในอัตรา 24-25% ในปี 2563
- โครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยระยะที่ 2 แล้วเสร็จ ณ สิ้นปี 2563 และเริ่มสร้างรายได้ในต้นปี 2564 โดยทำให้รายได้ของ FPT มีการเติบโตในอัตรา 52-54% ในปี 2564 และประมาณ 40% ในปี 2565
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ในปี 2563 ลดลงมาอยู่ในระดับ 27-28% และเพิ่มกลับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 40% ในปี 2564 และ 52-53% ในปี 2565
- ค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวนประมาณ 1.8 พันล้านบาทในปี 2563 จำนวน 850 ล้าน- 870 ล้านบาทในปี 2564 และจำนวน 400-450 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งได้รวมเงินลงทุนในโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับแผนการขยายสนามบินดอนเมือง
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยลบ:
- อัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO net leverage) ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 5.0 เท่าหลังจากปี 2564
ปัจจัยบวก:
- แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพ หากปริมาณสัญจรทางอากาศและปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS ฟื้นตัวเร็วกว่าที่ฟิทช์คาด ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO net leverage) ของ BAFS ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 5.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: BAFS มีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากยอดเงินสดคงเหลือที่เพียงพอ และระยะเวลาการชำระหนี้คืนที่มีการกระจายตัวที่ดี ณ สิ้นปี 2562 BAFS มีหนี้สินระยะยาวจำนวน 530 ล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ BAFS มี ยอดเงินสดคงเหลือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 2.0 พันล้านบาท นอกจากนี้สภาพคล่องของ BAFS ยังได้รับการสนับสนุนจากวงเงินสินเชื่อแบบผูกพันไว้แล้วที่ยังไม่ได้เบิกถอน (Undrawn Committed Facility) จำนวน 1.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเปี 2562 นอกจากนี้ BAFS ยังเพิ่งออกหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันจำนวน 1 พันล้านบาทและได้รับวงเงินกู้ยืมในลักษณะ Project Finance เพิ่มเติมอีก 1.1 พันล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา ดังนั้นสภาพคล่องของ BAFS น่าจะเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายลงทุนที่เหลืออยู่สำหรับโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือ