บมจ.เน็คซ์ แคปปิตอล ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนของบมจ.คอมเซเว่น (COM7) และ บมจ. ซินเน็ค (ประเทศไทย) (SYNEX) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 33.33% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในครั้งนี้ โดยบริษัทมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อลงทุนในระบบสารสนเทศเพื่อพัฒนาระบบการให้บริการสินเชื่อ และระบบสนับสนุนการทำงาน, ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ
เน็คซ์ แคปปิตอล เป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชนแต่ไม่ได้รับเงินฝาก (Non-Bank) ประกอบธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แบ่งธุรกิจเป็น 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ (Hire Purchase) แก่ผู้เช่าซื้อรายย่อยเป็นหลัก 2. ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสอง (Second Hand) และ 3.ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อสินค้าอื่น
บริษัทมีโครงการลงทุนในอนาคต ได้แก่ การขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด และการเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจกับร้านค้าและตัวแทนจำหน่าย โดยบริษัทมีแผนจะขยายสาขาในจังหวัดหัวเมืองสำคัญในปี 64 จำนวน 1 สาขา และในปี 65 จำนวน 2 สาขา เพื่อเพิ่มช่องทางการให้บริการและเพิ่มพันธมิตรทางการค้าที่เป็นร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายใหม่ๆ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนเปิดสาขาประมาณ 1-1.5 ล้านบาทต่อสาขา (ไม่รวมค่าตอบแทนพนักงาน) โดยบริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการประกอบธุรกิจในการลงทุน
พร้อมกันนั้น ยังมีแผนลงทุนราว 30-40 ล้านบาทในระบบสารสนเทศมาใช้ในกระบวนการทำงานทุกส่วนตั้งแต่กระบวนการรับลูกค้า กระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และกระบวนการสนับสนุนการทำงานต่าง ๆ รวมถึงการจัดทำรายงานทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทในทุกระบบงาน ได้แก่ ระบบ Mobile Application เพื่อให้สามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วมากขึ้น คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 63, ระบบ Credit Scoring ใช้กระบวนการทางสถิติเพื่อจัดการข้อมูลและกำหนดเป็นค่าคะแนนเครดิตเพื่อประเมินคุณภาพสินเชื่อ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 63, ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) คาดว่าจแล้วเสร็จในปี 64
ณ วันที่ 31 มี.ค.63 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 450,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 900,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนชำระแล้วจำนวน 300,000,000 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนในครั้งนี้บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเต็มจำนวน
โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 10 มี.ค.63 ประกอบด้วย COM7 ถือหุ้น 240,000,740 หุ้น คิดเป็น 40% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 26.67%, SYNEX ถือหุ้น 240,000,740 หุ้น คิดเป็น 40% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 26.67% และ วิสต้า อินเวสท์เม้นท์ ลิมิเต็ด ถือหุ้น 45 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.5% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 5%
ผลดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 60-62 รายได้รวมเท่ากับ 617.21 ล้านบาท, 823.93 ล้านบาท และ 1,033.58 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายพอร์ตสินเชื่อ และกระบวนการติดตามและทวงถามหนี้ที่ดี ส่งผลให้บริษัทสามารถเก็บหนี้สูญ และติดตามทรัพย์สินรอการขายกลับมาขายทอดตลาดได้มากขึ้น ขณะที่มีกำไรสุทธิ 128.59 ล้านบาท, 89.91 ล้านบาท และ 126.24 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 20.83%, 10.91% และ 12.21% ตามลำดับ
ส่วนผลงานในปี 62 บริษัทมีรายได้รวม 1,033.58 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 871.92 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 126.24 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 4,075.82 ล้านบาท หนี้สินรวม 3,022.67 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 1,053.15 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองอื่นๆ (ถ้ามี)