บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) คาดว่าในปี 50 ยอดรายได้ของบริษัทจะสูงกว่า 5 พันล้านบาทตามแนวโน้มราคาที่ดิน โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครที่ปรับสูงขึ้นประมาณ 8-10% นอกจากนี้ ยังคาดว่ายอดขายของบริษัทจะสูงกว่าเป้าหมายประมาณ 10-15% ซึ่งเดิมบริษัทคาดว่าจะมียอดขายในปีนี้ที่ 1.2-1.3 พันไร่ หลังจากการเมืองในประเทศมีความชัดเจนระดับหนึ่ง ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์สนใจเข้ามาซื้อที่ดินของบริษัท
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหาร AMATA เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะปรับยอดขายที่ดินในอมตะนครและอมตะซิตี้เพิ่ม 10-15% จาก 1.2-1.3 พันไร่ในปีนี้ หลังจากที่การเมืองมีความชัดเจนขึ้นและไม่ได้รุนแรงอย่างที่กังวลจึงส่งผลให้ยอดขายที่ดินของบริษัทเข้ามามากในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่รายได้รวมในปีนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 พันล้านบาท จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและจากราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้น 8-10%
ทั้งนี้ ยอดขายที่ดินในปีนี้ยังเติบโตกว่าปีก่อนที่มียอดขายที่ดิน 546 ไร่ หรือเติบโต 150% โดยยอดขายในครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 700-800 ไร่ ซึ่งเป็นลูกค้าแถบเอเชีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการประเภทชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งยอดขายมากกว่าครึ่งปีแรกที่มียอดขาย 400-500 ไร่ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเหลือที่ดินในการพัฒนาทั้งในอมตะนครและอมตะซิตี้รวมประมาณ 8,000 ไร่
ในแง่ของกำไรปีนี้คาดว่าใกล้เคียงกับปี 48 ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท
"หลัง 6 เดือนผ่านมามองว่ากลุ่มอมตะฯน่าจะกลับมาขอทวงแชมป์ market leader ได้ การเมืองก็เข้ารูป ออกมาในทิศทางที่ดีและม็อบครั้งนี้ไม่มีอุดมการณ์ความน่ากลัว ซึ่งการที่ธุรกิจเราผูกกับการตัดสินใจของนักลงทุน เมื่อการเมืองดีทำให้นักลงทุนกลับมาและเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง" นายวิบูลย์ กล่าว
นอกจากนี้ โดยส่วนตัวอยากให้ทางการเข้ามาดูในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีว่าประเทศไทยจูงใจพอหรือยังเมื่อเทียบกับเวียดนาม ซึ่งทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนที่เวียดนามมากขึ้นประกอบกับการที่เวียดนามลดค่าเงิน 1% ก็จะช่วยกระตุ้นให้เวียดนามเติบโตยิ่งขึ้น แต่ถือว่าเราโชคดีที่เรามีนิคมฯในเวียดนามอยู่
ส่วนอมตะเวียดนามขณะนี้มีการเช่าพื้นที่ 200 แฮกเตอร์ จากจำนวนทั้งหมด 700 แฮกเตอร์ ซึ่งตรงนี้ยังเหลืออีก 500 แฮกเตอร์
สำหรับความคืบหน้าในการนำอมตะเวียดนามเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น ที่ผ่านมาตลท.หารือมาที่บริษัทแล้วแต่บริษัทแจ้งว่าจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในไตรมาส 3 เพื่อศึกษาถึงผลดี ผลเสียในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่เท่าที่ประเมินน่าจะไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามมากกว่า โดยมีบล.ไซรัสเป็นที่ปรึกษาฯ
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--