นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) หรือ ดีแทค เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
DTAC มีรายได้จากการให้บริการ ไม่รวมค่า IC มูลค่า 1.53 หมื่นล้านบาท ลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี ,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ 7.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% จากไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ EBITDA margin (ปรับปรุง) อยู่ที่ 43.7%
"ก่อนการเกิดโควิด การดำเนินงานของบริษัทยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของเรา โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยว ลูกค้าใหม่ และบริการข้ามแดนอัตโนมัติในต่างประเทศ นอกจากนี้ สัญญาณเริ่มต้นของเศรษฐกิจถดถอยกำลังส่งผลต่อการปรับตัวด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าทุกกลุ่ม เราได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมถึงการใช้โอกาสนี้ในการเร่งรัดการพัฒนาช่องทางดิจิทัลทดแทน และยังคงสร้างความแข็งแกร่งทางด้านโครงข่ายการใช้งานรวมทั้งการพัฒนา 5G อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจะพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ดีแทคสามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือลูกค้าทุกคนเชื่อมต่อสื่อสารกับสิ่งที่สำคัญที่สุด"นายชารัด กล่าว
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/63 ดีแทคมีฐานลูกค้าจำนวนทั้งสิ้น 19.6 ล้านราย ลดลง 1 ล้านราย จากการลดลงของจำนวนลูกค้าในระบบเติมเงิน เนื่องมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการลดลงของจำนวนผู้ใช้บริการในระบบรายเดือนเนื่องมาจากการปรับปรุงวิธีการรายงานจำนวนผู้ใช้บริการในระบบรายเดือนในไตรมาสนี้ รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่า IC) ในไตรมาส 1/63 ลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 2.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากค่าบริการหลักในไตรมาส 1/63 ลดลง 0.9% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ระบบรายเดือนและการเติบโตของรายได้จากกลุ่มลูกค้าองค์กร
ด้าน EBITDA ปรับตัวดีขึ้น 4.5% จากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 4/62 และปรับตัวดีขึ้น 4.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
นายดิลิป ปาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน ของ DTAC กล่าวว่า รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC ตลอดจนรายได้จากการให้บริการหลัก (รายได้จากการให้บริการเสียงและข้อมูล) ยังคงเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1/63 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของไตรมาสนี้ รายได้จากระบบเติมเงินลดลง จำนวนฐานลูกค้าใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งระบบเติมเงินและรายเดือน รวมถึงรายได้จากระบบรายเดือนลดลง จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 1/63 ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากปัจจัยความกดดันรายได้ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ดีแทคต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการบริหารจัดการเงินลงทุน (CAPEX) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) อย่างสมเหตุสมผลในปีนี้
แม้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้จะมีความท้าทาย แต่เมื่อมองไปข้างหน้า ดีแทคมองเห็นโอกาส ซึ่งรวมถึงการกลับมาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว การลดลงของการย้ายค่ายของลูกค้าเพื่อให้ได้มาซึ่งแพ็คเกจที่ดีขึ้นและการขายที่คุณภาพไม่ดี โอกาสในการบริหารจัดการเงินชดเชยค่าเครื่องโทรศัพท์ที่เหมาะสมมากขึ้น และการเพิ่มขึ้นของการใช้งานผ่านช่องทางบริการตนเองและช่องทางดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม ด้วยความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาว ดีแทคมุ่งมั่นที่จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินสด ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ดีแทคจะให้แนวโน้มใหม่สำหรับปี 63 หลังจากที่สถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นในระยะกลางของดีแทคยังคงไม่เปลี่ยนแปลง