โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังแนะนำ"ซื้อ"พร้อมปรับราคาเหมาะสมของหุ้นบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย(SCC) แม้ว่าผลประกอบการปีนี้จะไม่ดี แต่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังน่าจะดีและคาดจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล
ทั้งนี้ บริษัทจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/50 ในวันที่ 25 ก.ค.นี้ คาดมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ในระดับ 6.4-6.8 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนและจากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากธุรกิจปิโตรเคมีมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่สเปรดแคบลงจากที่ราคาขยับเพิ่มไม่ได้ ขณะที่ธุรกิจปูนซิเมนต์ และธุรกิจกระดาษก็ทรุดตัวลง ตามความต้องการในประเทศที่ชะลอตัวจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจ
แต่ในไตรมาส 2/50 มีกำไรพิเศษจากกำไรจากการขายเงินลงทุน 2 บริษัท รวมเท่ากับ 2,612 ล้านบาท จึงทำให้มีกำไรสุทธิเท่ากับ 9.0-9.5 พันล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.กสิกรไทย ซื้อ 306
บล.กิมเอ็ง ซื้อ 300
บล.เคจีไอ ซื้อ 302.80
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง รองผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย คาด SCC ในไตรมาส 2/50 จะมีกำไรสุทธิที่ 6.4 พันล้านบาทลดลงจากปีก่อน 16% (YoY) และลดลงจากไตรมาสก่อน 22% (QoQ)เป็นเพราะต้นทุนค่าขนส่งเพิ่ม และ สเปรดของธุรกิจปิโตรเคมีลดลงมาที่ 606 เหรียญสหรัฐ/ตันจากไตรมาส 1/50 อยู่ที่ 681 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งราคาในตลาดหุ้นน่าจะสะท้อนไปแล้ว แต่ยังมีกำไรพิเศษจำนวน 1.38 พันล้านบาท จากการเงินลงทุนในบริษัทเหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ยังไม่รวมกำไรจาการขายบมจ.อะโรเมติกส์(ประเทศไทย)ATC
ในครึ่งหลังปีนี้คิดว่าผลประกอบการจะทรงตัว มองทั้งปี 50 กำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยูที่ 24.23 บาท (-1%)และปี 51 จะลดลงมาอยู่ที่ 22.60 บาท (-6%)
"กำไรต่อหุ้นทั้งปีลดลง 1% แสดงว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะดีขึ้น ส่วนปีหน้ากำไรจะไม่ค่อยดี ส่วนปีหน้ากำไรจะลดลง 6% แต่เรายังแนะนำซื้ออยู่ ปันผลดี เพราะให้ผลตอบแทน 5.4% และยิ่งในทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง เงินปันผลน่าสนใจกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก"นายสิทธิเดช กล่าว
ถ้าในปีหน้า หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาและภาวะเศรษฐกิจโตในอัตราเร่ง วัสดุก่อสร้างก็คงจะดีขึ้น ถึงเวลานั้นก็คึงจะมีการ upgrade ผลประกอบการกันอีกครั้ง ขณะนี้ได้ปรับราคาเป้าหมายมาที่ 306 บาท ที่ PE 12.6 เท่า
บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ประเมินว่า SCC จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ปรับลดลงเหลือเพียง 6.45 พันล้านบาทในไตรมาส 2/50 ปรับลดลง 20% จากไตรมาสก่อน และ 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองได้ส่งผลลบต่อธุรกิจของ SCC โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีได้รับผลจากต้นทุน Naphtha ที่ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาขายยังปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้มาก
"ตัวเลขดังกล่าวนับว่าเป็นฐานกำไรที่ค่อนข้างต่ำ และ น่าผิดหวัง เมื่อเทียบกับระดับความสามารถทำกำไรในช่วง 3 ปีย้อนหลังที่มีค่าเฉลี่ยกำไรต่อไตรมาสประมาณ 8.2 พันล้านบาท" บล.กิมเอ็งระบุในบทวิเคราะห์
แต่ในไตรมาส 2/50 SCC จะมีกำไรจากการขายเงินลงทุน รวมเท่ากับ 2,612 ล้านบาท คือ บริษัทเหล็กสยามยามาโตะ จำกัด (SYS) ได้กำไรหลังภาษี 1.38 พันล้านบาท และ ATC ประเมินว่าจะได้กำไรหลังภาษีเท่ากับ 1,232 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อรวมรายการพิเศษประเมินว่า SCC จะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 9.06 พันล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 7.55 บาท) เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน และ 19% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บล.กิมเอ็งแนะนำ ซื้อ โดยปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 300 บาท จากเดิม 260 บาท บนพื้นฐาน PEที่ 12 เท่า และประเมินว่า SCC จะสามารถสร้างกระแสเงินสดปีละประมาณ 4-4.5 หมื่นล้านบาท ทำให้ SCC สามารถรักษาระดับจ่ายเงินปันผลได้ 15 บาท/หุ้น โดยประเมินจะจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีแรกเท่ากับ 7.5 บาท นอกจากนี้เรายังคาดหมายว่า SCC จะได้ประโยชน์จากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจาก SCC เป็นหุ้นบลูชิพชั้นแนวหน้าของไทย
ธุรกิจปิโตรเคมี ที่ผลประกอบการแย่ลงมากจากต้นทุนแนฟทา(Naphtha)ปรับขึ้นสูงถึง 690 เหรียญ/ตัน ขณะที่ราคาขายปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้ เท่ากับ 1,300 เหรียญ/ตัน ทำให้สเปรดระหว่าง PE - Naphtha และ PP - Naphtha ในไตรมาส 2/50 ปรับลดลงเหลือ 610 เหรียญ/ตัน (-10%qoq, +5%yoy) และ 616 เหรียญ/ตัน (-8%qoq, +7%yoy)
แนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปี สเปรดจะสามารถรักษาระดับได้ระหว่าง 550-600 เหรียญ/ตัน เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านซัพพลายที่จะเกิดขึ้นในปีนี้โดยประเมินว่าชัพพลายที่จะเกิดในปีนี้ประมาณ 4-5 ล้านตัน ซึ่งเท่ากับการขยายตัวของดีมานด์ และแนวโน้มในปีหน้าประเมินว่าสเปรดจะสามารถรักษาระดับได้ประมาณ 565 เหรียญ/ตัน โดยคาดจะมีชัพพลายเกิดขึ้นประมาณ 5-6 ล้านตัน ซึ่งเท่ากับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์ ประเมินว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในไตรมาส 2/50 จะขยายตัวติดลบหนักประมาณ 8% จากปีก่อน เทียบกับไตรมาส 1/50 ที่ติดลบ 6% เนื่องจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศ ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 2/50 ประเมินว่าทรงตัวจากไตรมาสก่อน ส่วนด้านการส่งออกคาดหมายว่าจะถูกกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ในขณะที่ปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจกระดาษ คาดจะปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเราประเมินว่ายอดขายจะปรับลดลง (-4%qoq, -1%yoy) เหลือ 10,450 ล้านบาท EBITDA ประเมินว่าจะปรับลดลง (-7%qoq, -14%yoy)เหลือ 2,239 ล้านบาท
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) คาดกำไรสุทธิ SCC จากธุรกิจหลักในไตรมาส 2/50 อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท ลดลง 9.6% จากปีก่อน และ 15.5% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลการดำเนินที่ลดลงในธุรกิจปิโตรเคมี ปูนซีเมนต์และกระดาษ แต่เมื่อรวมกำไรพิเศษ จะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/50 เท่ากับ 9.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% จากปีก่อน และ 15% จากไตรมาสก่อน
เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดของ SCC มีสเปรดที่ลดลงจึงกดดันผลกำไร เนื่องจากซัพพลายปิโตรเคมีโลกที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุน Naphtha ก็สูงขึ้น ในอนาคตคสเปรดของธุรกิจปิโตรเคมีจะลดลง เพราะโรงปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น 5-6 ล้านตันในปี 2550 หรือเพิ่มขึ้น 4-5% จากปีก่อน โดยเราได้รวมเอาค่าสเปรดที่คาดว่าจะลดลงเหลือ US$500-545 ต่อตัน
ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์นั้นตลาดในประเทศลดลดงจากภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากการเริ่มเข้าฤดูฝน แต่ตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเอเชียสามารถทดแทนตลาดในประเทศได้ ส่วนธุรกิจกระดาษก็มีกำไรลดจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
"เรายังเห็นว่าผลกำไรมีแนวโน้มตกต่ำสุดในไตรมาส 2/50 และควรจะเริ่มฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 50 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในประเทศประกอบด้วย ธุรกิจปูนซีเมนต์ กระดาษ และวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มที่สดใส และช่วยชดเชยผลการดำเนินงานในที่ลดลงในธุรกิจปิโตรเคมีได้"บทวิเคราะห์ของบล.เคจีไอฯระบุ
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--