นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของ บลจ.กสิกรไทย ปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อนที่ราว 1 ล้านล้านบาท จากปัจุบันที่ AUM ลดลงไปอยู่ที่ 9.3 แสนล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการปิดตัวของกองทุนบางกอง และการลดลงของมูลค่าสินทรัพย์ โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมที่ในช่วงไตรมาส 1/63 ที่ผ่านมา AUM รวมลดลงเหลือ 4.4 ล้านล้านบาท จากปี 62 ที่อยู่ระดับ 5.2 ล้านล้านบาท
โดยในปีนี้ทาง บลจ.กสิกรไทย ยังคงเน้นการบุกตลาดไปยังการขายกองทุนผ่านระบบ Digital มากขึ้น เพื่อเป็นการลดการพบปะลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยในช่วงระยะเวลาที่ยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมไปถึงการควบคุมและการคิดค้นยารักษา จึงเน้นการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์ที่มีทั้งความเสี่ยงต่ำ และความเสี่ยงสูงอย่างเหมาะสมด้วย
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2/63 มองว่ายังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะไม่ไปทำจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่า 1,000 จุด เหมือนในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากภาครัฐบาลได้มีนโยบายต่าง ๆ ที่ออกมาช่วยหนุนภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายด้านการคลัง และการเงิน โดยยังคงต้องติดตามการผ่อนคลายนโยบายต่าง ๆ และการควบคุมหลังจากนี้ว่าจะทำได้ดีเพียงใด ซึ่งจะส่งผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
"ในช่วงนี้ถือว่าค่อนข้างลำบากในการที่จะประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหากยังไม่สามารถที่จะคิดค้นยารักษา หรือวัคซีนออกมาป้องกันได้นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่อง"นายวศิน กล่าว
นายวศิน กล่าวว่า ในส่วนของทิศทางเงินทุนต่างชาติยังไม่ไหลกลับเข้ายังตลาดหุ้นไทย โดยในช่วงที่ผ่านมาเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยแล้วราว 1 แสนล้านบาท ในตลาดตราสารหนี้อีกราว 1 แสนล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศหลักประเทศไทยถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนต่ำอยู่ ซึ่งคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในปีนี้เหลือ -5.3% โดยสิ่งที่สนับสนุนเศรษฐกิจของไทยมีเพียงการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐ จะเติบโต 2.5% ส่วนที่เหลือลดลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การส่งออก และการบริโภค
ทั้งนี้ คาดว่าอาจเห็นดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,350 จุดได้ภายในปีนี้ จากสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูงและการคาดหวังการฟื้นตัวของกำไรในปี 64 โดยในปีนี้คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวลดลงราว 20% จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยปัจจุบันเริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับกลยุทธ์ในระยะสั้นควรระมัดระวังการลงทุนโดยถือเงินสด 10-15% เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นที่สามารถเติบโตในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หุ้นกลุ่มที่มีการเงินแข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่มั่นคง ธุรกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังการระบาดสามารถควบคุมได้ มีระดับราคาที่เหมาะสม โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ คือ กลุ่ม Consumer Finance กลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มขนส่งทางราง