นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า (SABINA) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯ เตรียมกลับมาเดินเครื่องผลิตชุดชั้นในอีกครั้ง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มดีขึ้น และคาดว่าห้างสรรพสินค้าจะทยอยกลับมาเปิดให้บริการได้ตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้ เป็นต้นไป
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด บริษัทได้รหยุดการผลิตชุดชั้นใน และหันมาผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้าแทน เพื่อส่งมอบให้กับโรงพยาบาล หน่วยงานของภาครัฐ และใช้เป็นของแถมให้กับลูกค้าที่ซื้อชุดชั้นใน SABINA ผ่านออนไลน์ รวมถึงรับจ้างผลิตให้กับผู้ประกอบการต่างๆ ตามท้องตลาด ซึ่งขณะนี้เริ่มเดินเครื่องผลิตและจำหน่ายหน้ากากอนามัยแบบผ้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทมากขึ้น คาดว่าจะเริ่มวางขายได้ในช่วงปลายสัปดาห์นี้
ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานผลิตจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ บุรีรัมย์, ยโสธร, ขัยนาท, นครปฐม และกรุงเทพฯ โดยในช่วงที่ผ่านมามีการเดินเครื่องผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้าเพื่อทดแทนการผลิตชุดชั้นใน ซึ่งน่าจะรองรับการผลิตดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการจ้างผลิต บริษัทก็มีความพร้อมในการรับจ้างผลิต (OEM) ให้ เนื่องจากมองว่าในอนาคตเรื่องของโรคระบาดน่าจะยังมีอยู่ และฝุ่น PM 2.5 ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้หน้ากากยังเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นอย่างมาก หรือเรียกได้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งเหมือนชุดชั้นใน ที่ต้องมีอยู่ในตู้เสื้อผ้า
ขณะที่ก็เตรียมออกแคมเปญการตลาดอย่างเต็มที่ เช่น ลดราคาสินค้า, การจัดสินค้าขายแบบเป็นเช็ต ซึ่งปัจจุบันก็มีการดำเนินการอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เช็ตสำหรับเด็ก เซ็ตสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับวัยรุ่น แบบวีเชฟ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวมาก เป็นต้น รวมถึงการออกสินค้ารุ่นใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางรีเทลให้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ชดเชยในช่วงที่ห้างสรรพสินค้าปิดให้บริการ ประกอบกับมุ่งเน้นการขายผ่านออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
"หลังจากเปิดร้านมา สิ่งสำคัญคือต้องสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ารู้ว่าพนักงานขายมีความสะอาด สินค้าในโรงงานของเรามีการฆ่าเชื้อ และพนักงานของเราไม่มีใครติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้ามีความสะอาดก่อนถึงมือลูกค้า" นายบุญชัย กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในช่วงที่ไม่สามารถขายสินค้าผ่านช่องทางรีเทลได้ บริษัทฯ ได้หันมามุ่งเน้นการขายออนไลน์มากขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลซ อย่าง LAZADA, Shopee รวมถึงแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ได้แก่ SABINA Facebook, Line: @SABINA และ Instagram: SABINA โดยการขายในรูปแบบ non store retailing หรือการขายแบบไม่มีหน้าร้าน ที่ผ่านมามีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 10% ของยอดขายรวม และหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ส่งผลทำให้ยอดขายออนไลน์ในปัจจุบันเติบโตมากกว่าเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่ายอดขายผ่านช่องทางรีเทล ที่ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้า, โมเดิลเทรด และร้านค้าย่อยทั่วประเทศ ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไปถึง 75% ทั้งจากการปิดบริการมาตรการของรัฐบาล รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจซบเซา โดยจะกระทบกับยอดขายในไตรมาส 2/63 อย่างมีนัยสำคัญ เบื้องต้นคาดว่าผลการดำเนินงานจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 1/63
อีกทั้งยังคาดว่ารายได้ปีนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน จากปีก่อนอยู่ที่ 3,294.96 ล้านบาท โดยจากเดิมตั้งเป้ารายได้จะเติบโต 6-8% จากผลกระทบที่เกิดจากโควิด-19
"ด้วยความหวัง สิ่งที่จะมาชดเชยได้ คือ การให้พนักงานขายของเรา ที่มีจำนวนรวมกว่า 1,200 คน มาขายตรงผ่าน Facebook live ของเขา หรือ Line @ ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมอยู่แล้ว รวมถึงก็มีการขายออนไลน์ ผ่าน Facebook live ของ SABINA ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการ Inbox เข้ามาจำนวนมาก เราก็มีการจัดคนมาทำหน้าที่นี้เพิ่มขึ้นถึง 50 คน จากเดิมที่ทำอยู่ 2 คน ทำให้เราคาดว่ายอดขาย non store retailing จะกลับมาแทนที่ยอดขายผ่านรีเทล และยอดขายในประเทศจะได้จากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ของพนักงานของเรา"นายบุญชัย กล่าว
นายบุญชัย กล่าวว่า การส่งออกในช่วงที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยสัดส่วนยอดขายต่างประเทศปัจจุบันคิดเป็น 2% ของยอดขายรวม คาดว่าจะเริ่มกลับไปส่งออกได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้เป็นต้นไป
สำหรับเรื่องของสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทยืนยันว่ายังมีสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากปัจจุบันที่มีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.6 เท่า และยังมีการดูแลพนักงานทุกคน โดยไม่มีการเลิกจ้างพนักงาน รวมถึงยังมีการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเหมือนเดิม