นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์เช้านี้ว่า แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีหุ้นไทย (SET0 ปรับตัวลงไปถึง 37% แต่มาถึงวันนี้สามารถฟื้นตัว (Recover) ได้แล้วกว่า 20% ดังนั้น เมื่อเทียบกับต้นปี SET ปรับตัวลงไป 17-18% ทำให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งจากการที่มีบริษัทจดทะเบียนที่ดี มีกลุ่มนักลงทุนหลากหลาย ทำให้ตลาดหุ้นไทย Recover ได้อย่างรวดเร็วเสมอไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์เข้ามากระทบใดก็ตาม
"เมื่อดูการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยขณะนี้นับว่าดีมากๆ อาจจะดีที่สุดในอาเซียนด้วยซ้ำ"นายภากร กล่าว
ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้นมา 15% บาง sector ก็ปรับตัวขึ้นมาถึง 20% แต่บาง sector ปรับขึ้นมา 5% หรือ 10% ฉะนั้นขณะนี้นักลงทุนควรใช้โอกาสเข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลว่า sector ใดหรือบริษัทมใดจะฟื้นตัวจากเหตการณ์ต่างๆ ได้รวดเร็วหรือช้าอย่างไร ซึ่งข้อมูลต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จึงแนะนำนักลงทุนอย่าคิดถึงข้อมูลในอดีต ให้คิดถึงข้อมูลปัจจุบัน วิเคราะห์ข้อมูล อ่านบทวิเคราะห์ให้มาก ก็จะทำให้เลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม
นายภากร กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิด New Normal โดยเห็นว่า New Normal ในแง่ตลาดทุน คือ ในอนาคตสิ่งที่คิดว่าแน่นอนก็อาจไม่แน่นอน สิ่งที่เราเคยเชื่อว่าเป็นสูตรความสำเร็จก็อาจจะไม่ใช่อีกต่อไป วันนี้ New Normal เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ เพราะทั้งโลกต่อเชื่อมต่อถึงกัน และเทคโนโลยีสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน ปรับเปลี่ยนความรู้สึก ปรับเปลี่ยนความต้องการของผู้บริโภคได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันผู้ผลิตก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันความต้องการผู้บริโภค
New Normal ไม่น่าจะเกิดเฉพาะกับแต่ละอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึง New Normal การดำรงชีวิตที่เกิดจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น จากความไม่เน่นอน จากการเชื่อมต่อมากขึ้น จากที่โลกมีกฎระเบียบมากขึ้น ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน บริษัทที่ทำธุรกิจ หรือบุคคลต่างๆ ก็ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น New Normal คือการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
นายภากร กล่าวถึงแผนงานในอนาคตของ ตลท.ว่า จากที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจะทำอย่างไรให้ตลาดทุนไทย และผู้ร่วมในตลาดทุนไทยสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ ตลท.จะทำมากขึ้นคือการวางงโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนให้มีความกว้างขึ้น ลึกขึ้น สะดวกขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อยอดได้รวดเร็ว ถือว่าเป็นโจทย์ที่ ตลท.จะดำเนินการใน 3-5 ปีข้างหน้า
ในแง่ของการทำให้ตลาดกว้างขึ้น จะมีสินค้ามากขึ้น มีบริษัทจดทะเบียนทั้งใหญ่ กลาง เล็ก สตาร์อัพ มีบริษัทจากต่างประเทศ มีตราสารหนี้ ตราสารทุน ตราสารแบบไฮบริด ทำอย่างไรให้มากขึ้น , ลึกขึ้น จะทำอย่างไรให้มีนักลงทุนมากขึ้นทั้งจากต่างประเทศ ในประเทศ นักลงทุนสถาบัน ให้มีนักลงทุนหลากหลายกลุ่มเพื่อให้ตลาดมีสภาพคล่องมากขึ้น,
สะดวกขึ้น จะต่อเชื่อมเป็นดิจิทัลและเชื่อมกับต่างประเทศ ต่อเชื่อมอย่างไรให้ตลาดมีความสะดวกให้นักลงทุนสามารถใช้ตลาดทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ผู้ระดมทุนต่างประเทศมาใช้ตลาดทุนไทย, มีประสิทธิภาพ จะทำอย่างไรให้ตลาดที่จากเดิมมีเอกสารรูปแบบกระดาษให้ไม่ต้องใช้กระดาษ เปลี่ยนเป็นดิจิทัลให้หมด โดยในช่วงโควิด-19 ทำให้ได้ใช้ดิจิทัลปรับขั้นตอนการทำงาน ใช้ดิจิทัลอัพระบบใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งสิ่งนี้เชื่อว่าจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
และจะทำอย่างไรให้ตลาดพัฒนาได้เร็ว โดยจะร่วมมือระหว่าง steck holder ไม่ว่าจะเป็น บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนาคาร ทำอย่างไรให้ต่อเชื่อมและให้บริการได้เร็วขึ้น ต่อเชื่อมดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อทำให้คนในอุตสาหกรรมได้ประโยชน์
"ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตที่จะทำให้ตลาดของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น"นายภากร กล่าว