ทริส จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่วงเงินไม่เกิน 6 พันลบ.ของ MTC ที่ระดับ"BBB+" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 30, 2020 14:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC)ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการชำระคืนหนี้และขยายพอร์ตสินเชื่อ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยั่งยืนของบริษัทในการเป็นผู้นำตลาดในผลิตภัณฑ์หลักคือการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกัน รวมไปถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด คุณภาพของสินทรัพย์ที่ได้รับการควบคุมเป็นอย่างดี แหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลาย และสภาพคล่องซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอ

สถานะความเป็นผู้นำตลาดของบริษัทเกิดจากความเข้าใจในตลาดที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่เป็นอย่างดีและการมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศที่ครอบคลุมทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ชนบทระดับตำบลในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 4,107 สาขา โดยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากจำนวน 506 สาขาในปี 2557 สินเชื่อรวมคงค้างของบริษัทก็ขยายตัวมาอยู่ที่ 6.03 หมื่นล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2562 หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ระดับ 26% จากปี 2561 จากสมมติฐานที่ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะต่อยอดธุรกิจจากความชำนาญในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์และขยายเครือข่ายสาขาและฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องจึงคาดว่าสถานะทางการตลาดของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งอยู่เช่นเดิมในระยะปานกลาง

ในส่วนของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่แม้ว่าจะอ่อนแอลงเล็กน้อยในปี 2562 จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่แคบลงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าผลประกอบการทางการเงินของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงควบคุมต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงานเอาไว้ได้ต่อไปพร้อมทั้งยังรักษาการขยายตัวของสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย ในปี 2562 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 7.6% ในปี 2562 จากระดับ 8.6% ในปี 2561 อันเป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่แคบลงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยของบริษัทก็ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 8.5% ในปี 2562 จากระดับ 9.7% ในปี 2561 เช่นกัน

ทริสเรทติ้งคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอาจอ่อนตัวลงพอสมควรจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนตัวลงนั้นอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และจะมีผลกระทบต่อสถานะความเสี่ยงของบริษัทในขอบเขตที่จำกัด

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดและมีกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพต่อไปเพื่อที่จะควบคุมหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทยังคงมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 1.0% ซึ่งลดลงจากระดับ 1.1% ในปี 2561 โดยบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะรักษาอัตราส่วนดังกล่าวให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2% ในปี 2563 นี้

ภาระหนี้ของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็ลดลงเช่นเดียวกันโดยมาอยู่ที่ 2.9 เท่า ณ เดือนธันวาคม 2562 จาก 3.0 เท่าในปี 2561 โดยเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่กำลังจะออกแล้วนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่าในปี 2563 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับอันดับเครดิตในปัจจุบัน

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเนื่องจากบริษัทมีแหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลาย การที่บริษัทสามารถเข้าถึงเงินทุนจากทั้งตลาดเงินและตลาดทุนได้ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจำนวนทั้งสิ้น 1.7 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2563 จากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งอีกเช่นกัน โดย 50% ของวงเงินดังกล่าวนั้นบริษัทยังไม่ได้เบิกใช้

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะทางการตลาด อีกทั้งยังมีผลประกอบการที่น่าพอใจ สามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และรักษาระดับการก่อหนี้เอาไว้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตในอนาคตอันใกล้นี้มีโอกาสความเป็นไปได้ที่จำกัด อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตก็อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่การก่อหนี้และผลประกอบการทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากคุณภาพสินทรัพย์หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่ความเสี่ยงในการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมหรือความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสถานะเงินทุนที่อ่อนแอลงกว่าเดิม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ