นายพงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส (PPS) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าธุรกิจการก่อสร้างจะดำเนินงานต่อไปได้ แต่ก็ได้รับผลกระทบในหลายๆ เรื่อง ซึ่งหากพ้นจากช่วงนี้ไปอาจส่งผลทำให้สภาพธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง (new normal) บริษัทจึงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาการดำเนินงาน ปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจเพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและมีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้นรวมถึงเพิ่มช่องทางในการหารายได้ให้แก่กลุ่มบริษัท โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิ 10%
บริษัทมีงานในมือ (backlog) ณ 31 ธ.ค.62 จำนวน 63 โครงการ มูลค่างานคงเหลือตามสัญญา 537.21 ล้านบาท ถือเป็น backlog ที่สูงสุดในรอบหลายปีตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากงานเอกชน 65.72% งานรัฐบาล 34.27%
นายพงศ์ธร กล่าวอีกว่า จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย (GDP) ติดลบ 6.66% จากสถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาครัฐเร่งผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอื่นๆ ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าแผนดังกล่าวจะสามารถดำเนินไปตามนโยบายที่วางไว้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชน จึงเป็นโอกาสของบริษัทในการเสนองานภาครัฐเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ภาคเอกชน มีแนวโน้มชะลอตัวตั้งแต่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และได้รับผลกระทบหนักขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ศูนย์การค้า และคอนโดมีเนียม ที่มีการชะลอการก่อสร้าง หรือชะลอการเปิดโครงการ แต่ยังคงมองเห็นโอกาสของโครงการเอกชนบริเวณเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจังหวัดภูเก็ตที่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าพื้นที่อื่น
บริษัทปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร และการปรับแผนธุรกิจของบริษัทย่อย รวมถึงการขยายขอบเขตการรับงานในภาวะวิกฤติ และการแข่งขันในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ค่อนข้างรุนแรง พร้อมการฝึกและเพิ่มทักษะเพื่อพัฒนาความสามารถของพนักงานให้สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมใหม่ สถานการณ์นี้จึงถือเป็นโอกาสหนึ่งที่ทำให้บริษัทได้ทบทวนการปฎิรูปธุรกิจและปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อการยกระดับองค์กร
สำหรับการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในโครงการแหลมยามูจังหวัดภูเก็ต โดยบริษัท โปรเจคท์ วัน พร็อพเพอตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (P1) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PPS ดำเนินการรับโอนที่ดินของโครงการเมื่อปลายเดือนก.พ. 63 เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และนโยบายปิดเมืองของภาครัฐตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดภูก็ต เป็นผลให้การเจรจาหยุดชะงักลงชั่วคราว สาเหตุดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการประเมิน และการบันทึกมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยและมีผลกระทบต่องบการเงินรวมอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงส่งผลต่อการจัดทำงบการเงินไตรมาส 1
บริษัทจึงมีมติขอผ่อนผันระยะเวลาการนำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวัน 31 มี.ค.63 ต่อ ก.ล.ต. ออกไป โดยขอนำส่งภายในวันที่ 14 ส.ค.63 หรือก่อนวันที่บริษัทจะนำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 2 เพื่อให้บริษัทและผู้สอบบัญชีมีระยะเวลาเพิ่มมากขึ้นในการรวบรวม จัดทำ และตรวจสอบข้อมุลที่จะมีการเปิดเผยให้แก้ผู้ลงทุนได้พิจารณาและรับทราบอย่างถูกต้องต่อไป