นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ตามแผนการจัดตั้งกองทุนเพื่อการออม (Super Saving Fund : SSF) นั้น ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการเปิดเสนอขายกองทุนรวมประเภทดังกล่าว จำนวน 2 กองทุน ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 63 เป็นต้นไป ได้แก่ กองทุนเปิด วรรณ ออลไซน่า อิควิตี้ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม แบบไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-ALLCHINA-ASSF) และ กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม แบบไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-UGG-ASSF) ในส่วนของจุดเด่นของนโยบายทั้ง 2 กองทุนนี้จะมุ่งเน้นลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก
สำหรับในมุมมองของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของต่างประเทศนั้น บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในประเทศจีน โดยปัจจุบันรัฐบาลจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศได้แล้ว อีกทั้ง รัฐบาลจีนและธนาคารกลางจีนยังออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กที่ประสบปัญหาสภาพคล่องในก่อนหน้านี้ ส่งผลให้จีนมีแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่นเมื่อพิจารณาจากพื้นฐานเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเป็นจุดเปลี่ยนให้พฤติกรรมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หากวิเคราะห์ในเชิงของธุรกิจนั้น มองว่ากลุ่มอุตสาหกรรม Technology เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความน่าสนใจ เพราะจะได้รับประโยชน์อย่างเด่นชัดจากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันต่อเนื่องไปถึงอนาคตอันใกล้
ดังนั้น บลจ.วรรณ จึงเล็งเห็นโอกาสในการลงทุนที่มีนโยบายลงทุนที่สอดคล้องกับการลงทุนระยะยาว โดย ONE-ALLCHINA-ASSF จะเน้นคัดเลือกหุ้นเติบโตก้าวกระโดดไปพร้อมกับเศรษฐกิจจีนในยุคใหม่ในการลงทุนหุ้นจีน ซึ่งกลยุทธ์ที่โดดเด่นของกองทุนนี้ คือ การลงทุนแบบ All-in-One ไปกับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นจีน All China ที่มีความยืดหยุ่นสูง ลงทุนได้หลากหลายตลาด โดยมองหาโอกาสการลงทุนหุ้นจีนที่ดีที่สุดทั้งในและนอกประเทศจีน อาทิ หุ้นจีน A shares, H shares, ADRs, Red chips และ P chips
กองทุนสามารถปรับเปลี่ยนนำหลักการลงทุนในตลาด Offshore และ Onshore ได้โดยไม่จำกัดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละตลาด ซึ่งเป็นเครื่องมือสะท้อนมุมมองการลงทุนของผู้จัดการหลักได้อย่างเต็มที่เมื่อเปรียบเทียบกับ กองทุนหุ้นจีนอื่นๆ ในอุตสาหกรรมซึ่งส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดด้านนี้ โดย ONE-ALLCHINA-ASSF มีกองทุนบริหารจากลงทุนโดย UBS Asset Management และมีดัชนีอ้างอิง MSCI China All-Shares
ขณะที่ กองทุน ONE-UGG-ASSF จะเน้นนโยบายลงทุนภายใต้แนวคิดคัดเลือกหุ้นทั่วโลกที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นในระดับโลกระยะยาว ซึ่งกองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund เน้นลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในระยะยาวจากทั่วโลก โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างผลตอบแทนอย่างแท้จริงในระยะเวลา 5-10 ปี ตัวอย่างการลงทุนในพอร์ต ได้แก่ Amazon, Tesla, Facebook, Netflix, Illumina, Alibaba, Tencent เป็นต้น
นอกจากนี้ รูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่ (new normal) และการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) จะช่วยเร่งการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้เข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาวและนำมาสู่ผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนในที่สุด
นายพจน์ กล่าวเสริมว่า ONE-ALLCHINA-ASSF และ ONE-UGG-ASSF ยังคงใช้นโยบายการลงทุนเช่นเดียวกับ กองทุนเปิด วรรณ ออล ไชน่า อิควิตี (ONE-ALLCHINA) และ กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (ONE-UGG) ในประเภทกองทุนรวมปกติ(ไม่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี) ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทยังคงคำแนะนำให้ทยอยสะสม แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัย Covid-19 ก็ตาม เนื่องจากหากพิจารณาระยาว ทั้งสองกองทุนยังมีโอกาสเติบโตได้ดี
โดยผลการดำเนินงานกองทุน ONE-AllCHINA ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (2018) 1 ปี 6 เดือน อยู่ที่ระดับ 10.97% 2.57% และ 7.01% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 9 เม.ย.63) ขณะที่กองทุน ONE-UGG ผลการดำเนินงาน ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (2016) 3 ปี 1 ปี อยู่ที่ระดับ 20.72% 17.14% และ 19.85% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย.63)
"การนำนโยบายการลงทุนของกองทุนชนิดปกติมาเป็นหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออมนั้น เนื่องจากบริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพของการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และมีความเหมาะสมกับระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม นั่นคือการลงทุนในระยะยาว 10 ปี ถึงจะครบกำหนดอายุการไถ่ถอน อย่างไรก็ดี กองทุน ONE-ALLCHINA-ASSF และ ONE-UGG-ASSF นอกจากจะเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถถือลงทุนระยะยาวได้แล้ว ผู้ลงทุนต้องสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดต่างประเทศได้ด้วย" นายพจน์ กล่าว