นายทิโมธี อลัน พอตเตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/63 ของบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 261 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 8,273 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างรุนแรงส่งผลให้เกิดการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือในช่วงปลายไตรมาส
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/62 ซึ่งบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2,975 ล้านบาท) เนื่องจากในช่วงไตรมาสดังกล่าวมีการดำเนินงานตามแผนการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ รวมถึงโครงการการเพิ่มกำลังการผลิตและการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของอุปกรณ์และเครื่องจักร ซึ่งแล้วเสร็จด้วยดี และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่1/62 บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1,690 ล้านบาท
นอกจากนี้ผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบคงคลังที่ลดลง ทำให้ค่าการกลั่นตลาดปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 เช่นกัน ผลกระทบต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนถึงสภาวะตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันดิบและเชื้อเพลิงด้านการขนส่งทั่วโลกลดลง
อย่างไรก็ตามความสำเร็จของโครงการการเพิ่มกำลังการผลิตในไตรมาส 4/62 ทำให้ SPRC ยังคงมีสถานภาพที่ดีท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยโรงกลั่นสามารถปรับตัวตามความต้องการของตลาดได้คล่องตัวมากขึ้น และปรับลดการผลิตสินค้าที่มีความต้องการในตลาดต่ำเพื่อไปผลิตสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ SPRC ได้ดำเนินการมาตลอดในช่วงไตรมาสแรกของปี 63 ส่งผลให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความคุ้มค่าให้เกิดขึ้นได้ในเวลาที่ยากลำบาก
นอกจากนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน อันเนื่องมาจากผลกระทบจากสภาพตลาดในปัจจุบัน SPRC ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกระแสเงินสดเป็นจำนวน 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการพิจารณาเลื่อนโครงการที่ไม่สำคัญหรือไม่เร่งด่วนออกไป ปรับลดปริมาณสินค้าคงคลัง มุ่งเน้นการปรับเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษามาตรฐานความเป็นเลิศในด้านความปลอดภัย ความเชื่อถือได้ในการดำเนินงาน รวมถึงความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่า SPRC จะสามารถจัดหาพลังงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง