BANPU พอใจ Q1/63 กำไรโตพุ่งแม้เจอโควิด มองหาโอกาสธุรกิจใหม่พร้อมปรับเปลี่ยนสอดรับ New Normal

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 13, 2020 10:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า ผลดำเนินธุรกิจไตรมาส 1/63 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 633 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,806 ล้านบาท) ลดลงจำนวน 66 ล้านเหรียญสหรัฐ จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ประมาณ 2,065 ล้านบาท) คิดเป็น 9% โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 134 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,193 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,721 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

แม้วิกฤตโควิด-19 จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงในวงกว้างในไตรมาส 1/63 แต่บ้านปูฯ ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ใน 10 ประเทศได้อย่างราบรื่นด้วยระบบการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) ที่มีประสิทธิภาพ โดยจัดเตรียมแผนปฏิบัติการในภาวะวิกฤตและเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ การกำหนดมาตรการให้พนักงานปฏิบัติงานจากที่พัก พนักงานของเรากว่า 6,000 คนมีความปลอดภัยและสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและนโยบายของรัฐบาลในทุกประเทศที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ

"ผลการดำเนินงานโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ มีความพร้อมในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและปรับเปลี่ยนธุรกิจที่มีอยู่เดิมให้สอดรับกับ New Normal ที่มีผลต่อแนวโน้มการใช้พลังงานในอนาคต รวมทั้งการใช้พลังงานภาคประชาชนที่สูงขึ้น เพื่อให้ทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้จากทุกที่ และ New Normal นี้จะเป็นบททดสอบสำคัญในการสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต"นางสมฤดี กล่าว

สำหรับกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 ว่า การผลิตถ่านหินยังคงเดินหน้าได้ตามปกติ มีปริมาณการผลิตตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการด้านการผลิตและการคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้มีศักยภาพการผลิตก๊าซที่ดีขึ้น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนสัญญาซื้อขายแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกระแสเงินสดให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ ขณะที่ยังสามารถสร้างการเติบโตทางการผลิตได้ตามแผน

ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานมีการเติบโตที่ดี โดยโรงไฟฟ้าหงสาและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพียังคงเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากรายงานดัชนีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) กว่า 90% เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศจีนและญี่ปุ่น ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพ

สำหรับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน มีการขยายพอร์ตเทคโนโลยีพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัท Sunseap Group Pte. Ltd. (Sunseap) ผู้นำธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคาของสิงคโปร์ ส่งผลให้สัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 48.6% จากเดิม 38.5% และทำให้บ้านปูฯมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ760 เมกะวัตต์ (จากระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและโซลาร์ฟาร์ม)

นอกจากนี้ ยังมีแผนจะนำรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการผ่านแอพลิเคชัน รวมถึงเดินหน้าผนึกความร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดตัวโครงการการบริหารจัดการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพิ่มศักยภาพการขนส่งพัสดุให้สะดวก รวดเร็ว ทั้งยังประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา บริษัทฯ ดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายทั่วทั้งองค์กร และกลยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยเฉพาะการบริหารกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน บ้านปู ยังคงเดินหน้ามองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในฐานะบริษัทพลังงานครบวงจรที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหรือนวัตกรรมพลังงานที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า ตอบโจทย์ New Normal ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งก้าวไปพร้อมกับเทรนด์ด้านพลังงานแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบกักเก็บพลังงานเพื่อเป็นแหล่งสำรองไฟฟ้า ระบบไมโครกริดเพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้า โมไบล์แอปสำหรับตรวจสอบการทำงานของแผงโซลาร์เซล การใช้เทคโนโลยีเอไอในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ และการพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นต้น

"เหตุการณ์วิกฤตโควิดในครั้งนี้ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตการณ์และ New Normal ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างต่อเนื่อง วัฒนธรรมองค์กร "บ้านปู ฮาร์ท" ของเราก็ช่วยหล่อหลอมให้พนักงานมุ่งมั่นยืนหยัดที่จะร่วมมือกันหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างพลังร่วม (Synergy) ที่มีความสำคัญต่อองค์กรมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นตัวผลักดันให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนในองค์กรมีแรงใจร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้" นางสมฤดี กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ