นายศรชัย กล่าวว่า หลังจากนี้ บล.ต่างๆ จะต้องมีการปรับตัวด้วยการให้ความรู้และชี้แจงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้แก่นักลงทุนมากขึ้นเพื่อลดความกังวลในการลงทุน เนื่องจากในช่วงต้นๆ ของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีประชาชนเข้ามาถอนหน่วยลงทุนจำนวนมาก เพราะกังวลว่าสถาบันทางการเงินจะไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ ในด้านกลยุทธ์การลงทุนจะต้องมองในภาพใหญ่ก่อนว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเป็นอย่างไร และจะกระทบกับบริษัทจดทะเบียนอย่างไร ทั้งในด้านผลตอบแทนการลงทุน และความสามารถในการชำระหนี้ โดยในช่วงไตรมาส 1/63 ได้รับผลกระทบไปบ้างแล้ว ขณะที่ไตรมาส 2/63 จะได้รับผลกระทบมากขึ้นไปอีก และเป็นช่วงผลการดำเนินงานจะลงไปที่จุดต่ำที่สุด คาดว่าตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของโลกจะติดลบ 3% แต่จากนี้ไปการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะออกมาในรูปของ U shape ซึ่งปัจจุบันภาครัฐบาลของหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆออกมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวที่จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงคงจะต้องรอช่วงหลังจากที่สามารถผลิตวัคซีนออกมาได้แล้ว
นายศรชัย กล่าวอีกว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมานั้น เป็นการลงทุนโดยการมองทิศทางในอนาคต หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันธนาคารต่างๆทั่วโลกได้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาช่วยเหลือในระยะสั้น ส่งผลสภาพคล่องล้นออกมา ทั้งนี้ แนะนำให้เลือกลงทุนในกลุ่ม Defensive และ มีกระแสเงินสดรองรับการดำเนินธุรกิจค่อนข้างมาก อาทิ Health Care ต่อมาคือกลุ่มบริษัทที่ผลิตสินค้าจำเป็นทั้งก่อนโรคระบาดและหลังจบโรคระบาดแล้ว ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยมาก
ขณะที่กลุ่มที่ต้องหลีกเลี่ยงลงทุน คือ กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าจะเป็นกลุ่มหลังๆที่จะฟื้นตัว โดยในปีนี้คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ราว 10 ล้านคน ต่ำกว่าปีก่อนถึง 60-70% , กลุ่มน้ำมัน แม้มองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่หากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอาจส่งผลให้มีการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันตามมา จึงจะส่งผลให้ราคาน้ำมันไม่ปรับตัวขึ้นไปได้สูงมากนัก