"ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันทำให้บริษัทมองเห็นว่าในอนาคตจะไม่สามารถเติบโตได้แล้ว เราจึงมองหาการลงทุนใหม่ๆเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามยังคงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและก๊าซอยู่ เพื่อที่จะสร้างการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยหากไม่รวมกับโครงการใหม่ที่จะเสนอเข้าบอร์ดครั้งนี้เราจะยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ไปถึงปี 68 "นายวิชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจให้มีการชะลอตัวลง บริษัทจึงมีแผนจะรักษากระแสเงินสดกลับเข้ามาราว 56 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยการลดกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันในปัจจุบัน เพื่อทำให้สต็อกไม่สูงจนเกินไป ซึ่งจะทำให้มีการบริหารกระแสเงินสดได้เพียงพอ คาดจะช่วยสร้างกระแสเงินสดประมาณ 32 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกันนี้ บริษัทยังลดการลงทุนต่างๆ ที่ไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการผลิต คาดว่าจะช่วยสร้างกระแสเงินสด 9 ล้านเหรียญสหรัฐ และดำเนินแผนลดการใช้จ่ายในแต่ละแผนก ซึ่งจะช่วยทำให้มีกระแสเงินสดอีก 8 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมไปถึงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเครื่องบินเปลี่ยนเป็นน้ำมันดีเซล เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่ยังคงมีอยู่ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์คาดจะช่วยสร้างกระแสเงินสดได้อีก 7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่บริษัทยืนยันว่ายังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามปกติ แม้ว่างบการเงินจะแสดงผลขาดทุนสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรร จำนวน 2,376 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีการเจรจาถึงประเด็นดังกล่าวแล้ว และยืนยันว่าบริษัทสามารถปันผลจากกระแสเงินสดที่มีได้ ด้านนายศักดิ์ชัย ธรรมสุรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายจัดหาและวางแผนธุรกิจ SPRC คาดว่าค่าการกลั่น (GRM) ในช่วงไตรมาส 2/63 จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงไตรมาส 1/63 ที่อยู่ในระดับ 1.28 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยมองว่าความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในประเทศจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น จากการที่ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆออกมา คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับการใช้กำลังการผลิตคาดว่าจะกลับมาที่ระดับ 175,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงปลายปี จากปัจจุบันใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 145,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการใช้ในปัจจุบัน โดยบริษัทยอมรับว่าจะส่งผลกระทบต่อทิศทางผลประกอบการของบริษัทให้ลดต่ำลงตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศเพื่อที่จะลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้บ้าง