นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปีนี้ และภาพรวมธุรกิจทั้งปี 63 บริษัทจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายที่ไว้
แนวโน้มไตรมาส 2/63 บริษัทมียอดจองบ้านรอโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาแล้วกว่า 150 ล้านบาท และเตรียมพร้อมเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,300 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ คุณาลัย บีกินส์ 2 ซึ่งเป็นทาวน์โฮม 363 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดการขายอย่างเป็นทางการภายในไตรมาสนี้ ส่วนโครงการ คุณาลัย พรีม ซึ่งเป็นบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 411 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดการขายอย่างเป็นทางการในไตรมาส 3/63
ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่สร้างเสร็จบางส่วนก่อนเปิดการขายอย่างเป็นทางการ โดยเป็นการเปิดต่อเนื่องจากโครงการที่ปิดการขายไปในช่วงก่อนหน้า ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้นหลังการขาย
"KUN มีแผนเตรียมเปิดโครงการรองรับงานโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคต เนื่องจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใช้เวลาในการสร้างสินค้านานกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ ทำให้บริษัทจึงค่อยๆ พัฒนาโครงการ นอกจากนี้ บริษัทปรับกลยุทธ์รูปแบบการขายให้เหมาะกับชีวิตแบบ social distance โดยการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสาร และการเข้าเยี่ยมชมโครงการ ผ่านโซเชียลมีเดีย ต่างๆ ของบริษัท"นายประวีรัตน์ กล่าว
นางประวีรัตน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.63 บริษัทมีรายได้รวม 162.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 154.8 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 11.5 ล้านบาทลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มี 14.1 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการเติบโตที่สวนกระแสการชะลอตัวของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับอัตราการเติบโตในไตรมาสแรกนั้นมาจากการรับรู้รายได้จากการขาย 5 โครงการหลัก ประกอบด้วย 1.คุณาลัย พรีม 2.คุณาลัย ซิมโฟนี 3.คุณาลัย บีกินส์ 4.คุณาลัย พอลเลน และ 5.คุณาลัย จอย ออน 314 ที่มีการทยอยโอนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ในช่วง 2-3 เดือนแรกที่ผ่านมามีจำนวนยอดผู้เข้าชมโครงการ (Walk In) ซึ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่ออิงกับช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประกอบกับหลังจากที่โควิด-19 บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์แบบ Worst case scenario มาเป็นหลักคิด เพื่อวางรูปแบบการทำงานของบริษัทเพื่อสอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 7% ของรายได้รวม โดยบริษัทสามารถสร้างรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ได้สูงขึ้นจากไตรมาส 1/62 อีกด้วย