นายภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง (ACG) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดซ่อมของศูนย์บริการเติบโตได้ดีจากการเปิดสาขาครบ 10 แห่งและมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยอดขายรถยนต์ช่วง 2 เดือนแรกที่ช่วยสนับสนุน จากการที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด (Honda) เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่น 5 รถในโครงการอีโค คาร์ เฟส 2 รุ่นแรกของฮอนด้า ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯเป็นดีลเลอร์ จึงได้รับประโยชน์ในครั้งนี้
"ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปีนี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ทั้งรายได้และความสามารถในการทำกำไรดีกว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 และถือว่าบริษัทยังสามารถรักษาการเติบโตได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าผลงานช่วงครึ่งแรกของปีนี้อาจจะชะลอตัวลงหากเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ด้วยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัท จะยังคงเดินหน้าขยายศูนย์บริการสาขาภูเก็ตที่ 3 เพื่อช่วยสนับสนุนยอดขายและยอดซ่อมบริการให้เติบโตขึ้น"นายภานุมาศ
อนึ่ง ACG แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิ 17.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับกำไรสุทธิ 15.75 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายภานุมาศ กล่าวอีกว่า เป้าหมายช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทจะเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตให้มีความแข็งแกร่ง และสามารถฝ่าฟันวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในทุกสถานการณ์ โดยเริ่มรุกขยายไปยังธุรกิจ FAST FIT ศูนย์จำหน่ายอะไหล่รถยนต์ และให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ทุกยี่ห้อ ภายใต้ชื่อบริษัท ออโตคลิก บาย เอซีจี จำกัด (Autoclik By ACG Co.,Ltd.) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เบื้องต้นมีแผนใช้เงินลงทุนประมาณ 30-40 ล้านบาท และจะนำร่องขยายสาขา 5 แห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานจะถึงจุดคุ้มทุนและสร้างผลกำไรในอนาคตอันใกล้นี้
รวมทั้งจะดำเนินการเร่งพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้กับการให้บริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการกับลูกค้ามากขึ้น สร้างในความสะดวกรวดเร็วเมื่อเข้ามาใช้บริการ และจะทำให้พร้อมที่จะกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทจะขอย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยขณะนี้มีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดอยู่แล้ว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ลดข้อจำกัดในการเข้าลงทุนของนักลงทุนสถาบัน รวมถึงเป็นการช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับบริษัทมากขึ้น