นางพรธิดา บุญสา รองกรรมการผู้จัดการสายการเงิน บมจ.โอสถสภา (OSP) เปิดเผยว่า ทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/63 ยังต้องลุ้นผลประกอบการจะเติบโตกว่าไตรมาส 1/63 เนื่องจากในช่วงเดือน เม.ย.63 ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามยอดขายในช่วง 2 เดือนที่เหลือว่ายอดขายจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ทันหรือไม่หลังจากรัฐบาลคลายล็อกบางส่วนไปแล้ว ขณะที่บริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับบริษัทเตรียมจะเดินเครื่องผลิตสินค้ากลุ่มเสริมอาหาร (Functional Drinks) เพิ่มขึ้นอีก 10-15% เนื่องจากกลุ่มสินค้าดังกล่าวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่ประชาชนเริ่มให้ความสนใจกับสุขภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีอย่างต่อเนื่อง และแผนการลดต้นทุนด้วยโครงการ "Fit Fast Firm" โดยคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนด้านต่างๆ ได้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/63 บริษัททำได้แล้ว 75% ของเป้าหมายดังกล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้จะใช้งบลงทุนไม่เกินปกติที่ระดับ 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตและผลักดันการเติบโตของธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ราว 0.52 เท่า และมีกระแสเงินสดอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งบริษัทจะเน้นการใช้เงินลงทุนสำหรับสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
สำหรับโรงงานแห่งใหม่ในเมียนมาคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายไตรมาส 2/63 ถึงไตรมาส 3/63 โดยโรงงานดังกล่าวก่อสร้างเสร็จในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ติดขัดในขั้นตอนทดสอบสุดท้าย ซึ่งต้องใช้วิศวกรเป็นผู้ทดสอบระบบของโรงงาน แต่ไม่สามารถเดินทางไปได้ ทำให้กระบวนการต่างๆ ต้องล่าช้าออกไป
"ในช่วงที่มีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เราก็ได้มีการปรับแผนการดำเนินงานต่างๆให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการลดต้นทุนและรักษากระแสเงินสดให้อยู่ในระดับที่ดีด้วย ในขณะเดียวกันเราก็ยังมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่องในทุกๆกลุ่มสินค้าเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายด้วย"นางพรธิดา กล่าว