นายประพล พรประภา กรรมการและรองผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) กล่าวว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มียอดจดทะเบียน 431,004 คัน ลดลง 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่ 462,205 คัน อีกทั้งอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในประเทศมีการปรับเป้าการผลิตรถจักรยานยนต์ลง 2 แสนคัน เหลือ 1.8 ล้านคัน แบ่งเป็นผลิตเพื่อขายในประเทศ 1.5 ล้านคัน (เดิมตั้งไว้ 1.7 ล้านคัน) และส่งออก 3 แสนคัน (เดิมตั้งไว้ 4 แสนคัน) ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อภายในประเทศและผลของสงครามการค้าสหรัฐและจีน ต่อเนื่องมาถึงปัญหาวิกฤติโควิด-19 ซึ่งยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
แต่ในเบื้องต้นบริษัทฯ ได้มีการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นการเตรียมพร้อม ทั้งในส่วนของการช่วยเหลือลูกค้าและแผนงานการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ หากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงลากยาวไปจนถึงปลายปีหรือยาวกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์รอบด้าน คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศจะยังมีการชะลอตัวไปอีกระยะหนึ่ง โดยในช่วงนี้ TK จะเน้นการบริหารคุณภาพลูกหนี้ ควบคู่กับการเติบโตในตลาดต่างประเทศ ส่วนในประเทศ หากสถานการณ์ดังกล่าวปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น TK ก็มีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะความพร้อมทางด้านฐานทุนและการเงินในการกลับมาเร่งทำตลาด โดยทั้งหมดนี้นับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการดำเนินธุรกิจในปี 2563
"ในปี 2563 นี้ ถึงแม้จะเป็นปีที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะความท้าทายจากโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบกับทั้งสังคมและเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ดังนั้น นอกจากจะต้องบริหารธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายแล้ว TK ยังให้ความสำคัญเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานทุกคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งยังให้ติดตามผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยที่ผ่านมาเราได้มีโครงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าในหลายรูปแบบ เช่น การพักชำระหนี้หรือชำระบางส่วนของค่างวด การให้ความคุ้มครองฟรีกรณีตรวจพบการติดเชื้อโควิด-19 และการให้ส่วนลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในกรณีลูกค้าปิดจบสัญญาก่อนกำหนด" นายประพล กล่าว
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ TK เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 บริษัทรายได้รวมเท่ากับ 740.9 ล้านบาท ลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีนโยบายเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และมีกำไรสุทธิ 100.6 ล้านบาท ลดลงเพียงเล็กน้อยหลังจากมีการเริ่มใช้มาตรฐานบัญชีแบบใหม่ TFRS9 ลูกหนี้เช่าซื้อรวมทั้งสิ้น 6,777.7 ล้านบาท ลดลง 11% อันเป็นผลมาจากนโยบายการเร่งตัดหนี้สูญและเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2561
โดยลูกหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศ จำนวน 1,425.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.7% จากสิ้นปี 2562 และเพิ่มสัดส่วนเป็น 22.2%
นอกจากนี้บริษัทฯ มีนโยบายเร่งขยายตลาดในต่างประเทศ ด้วยการเพิ่มสาขาในต่างประเทศอีก 9 สาขา โดยที่กัมพูชา เพิ่ม 6 สาขาให้ครบจำนวน 12 สาขาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วและที่ สปป.ลาว คาดว่าเพิ่ม 3 สาขา รวมเป็น 6 สาขา ภายในกลางปีนี้ ซึ่งอาจจะมีการอนุมัติล่าช้าเนื่องจากใน สปป.ลาว มีการล็อกดาวน์ประเทศในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการอนุมัติการเข้าซื้อกิจการไมโครไฟแนนซ์ในเมียนมา ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการและคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าสัดส่วนลูกหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นถึง 30%