นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2563 คาดว่าจะมีกำไร ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโต 10-12% จากปีก่อน และมีปริมาณการการจำหน่ายน้ำมันเติบโต 10-12% จากปีก่อน ขณะที่คาดว่าโครงการปาล์ม คอมเพล็กซ์ยังสามารถดำเนินงานได้เต็มกำลังการผลิตและสร้างผลกำไรในปี 2563 อยู่ที่ 500-600 ล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามการถือหุ้นในสัดส่วน 40%
อนึ่ง เมื่อเดือนมี.ค. PTG ยังคงเป้าหมาย EBITDA และปริมาณขายน้ำมันในปี 63 เติบโต 15-20%
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 บริษัทมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมอยู่ที่ 1,217 ล้านลิตร เติบโต 9.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางอยู่ที่ 14.10% และบริษัทยังมีส่วนแบ่งการตลาดการด้านจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเป็นอันดับ 2 ของประเทศ และในช่วงไตรมาส 1/63 บริษัทมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมการจำหน่ายน้ำมันจะลดลง
โดยมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการอยู่ที่ 1,148 ล้านลิตร เติบโต 9.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 94.30% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทั้งหมด เนื่องจากจำนวนสถานีบริการที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทได้เริ่มขยายการให้บริการน้ำมันดีเซล B10 ซึ่งได้ถูกกำหนดโดยภาครัฐให้เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศ และมีการส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในประเทศ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ส่งผลให้ในไตรมาส 1/63 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซล B10 อยู่ที่ 14.50% เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ โดยน้ำมันดีเซล B10 คิดเป็นสัดส่วน 9.70% ของการจำหน่ายน้ำมันดีเซลทั้งหมด
ในไตรมาส 1/63 บริษัทมีรายได้จากการขายและการบริการอยู่ที่ 29,121 ล้านบาท เติบโต 1.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น แต่จากราคาขายปลีกที่ปรับตัวลดลงมาก ทำให้รายได้เติบโตเพียงเล็กน้อย
ขณะเดียวกันราคาขายปลีกที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าการตลาดต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้น 2,231 ล้านบาท ลดลง 12.1% จากปีที่แล้ว โดยกำไรขั้นต้นจากธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจ non-oil คิดเป็นสัดส่วน 87% และ 13% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย และบริษัทร่วม 165 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากนโยบายลดความเสี่ยงจากการมีธุรกิจเดียว ทั้งนี้ กำไรหลักมาจากโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ที่สามารถเดินกำลังการผลิตได้ 100% แล้ว
ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร อยู่ที่ 1,944 ล้านบาท เติบโตเพียง 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าบริษัทจะไม่มีนโยบายในการลดพนักงาน เพราะบริษัทให้ความสำคัญกับบุคลากรมาเป็นอันดับแรก แต่จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายในไตรมาสนี้ เติบโตแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และภายหลังจากการปรับรายงานตามมารฐานบัญชีใหม่ ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 204 ล้านบาท ลดลง 60.6% จากปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้แพร่กระจายไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ในเดือนเม.ย 2563 ทางบริษัทได้จัดกิจกรรมช่วยเหลือลูกค้าต่าง ๆ เช่น ให้บริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 ในแก่ลูกค้าที่ถือบัตร PT Max Card ฟรี ในสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG และที่ศูนย์บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ Autobacs และแจกข้าวกล่องให้กับลูกค้ารถแท็กซี่ที่มาใช้บริการที่สถานีบริการแก๊ส LPG เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า เป็นต้น
"จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เข้ามา ทำให้พีทีจีมีการปรับกลยุทธ์ใช้วิกฤติในครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจร้านสะดวกซื้อของบริษัท โดยพีทีจีได้มีการเพิ่มช่องทางการให้บริการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มทั้งในส่วนของกาแฟพันธุ์ไทย และ Coffee World ผ่านแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารออนไลน์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า รวมทั้งจะเป็นสร้างความแข็งแกร่งในส่วนของธุรกิจ Non-Oil เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน" นายพิทักษ์ กล่าว