SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,280.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด (+0.03%) มูลค่าการซื้อขาย 50,659.85 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้เป็นลักษณะประคองตัว เลือกลงทุนหุ้นรายตัวขนาดกลาง อย่างกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยตลาดไม่ได้ตอบรับการคลายล็อกดาวน์เฟส 2 มากนัก เนื่องจากตอบรับข่าวไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ตลาดยังจับตาสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศ และสงครามการค้าจีนและสหรัฐ รวมถึงรอติดตามปัจจัยในประเทศทั้ง GDP ไตรมาส 1/63 และผลประชุม กนง.ในสัปดาห์หน้าจึงคาดว่าดัชนีจะแกว่งในกรอบตามการเลือกลงทุนหุ้นรายตัว ให้แนวรับ 1,266 และ 1,258 จุด ส่วนแนวต้าน 1,300 และ 1,315 จุด
ตลาดหลักทรัพย์ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,280.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด (+0.03%) มูลค่าการซื้อขาย 50,659.85 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกและลบ โดยทำระดับสูงสุดที่ 1,289.24 จุด และทำระดับต่ำสุด 1,278.86 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 611 หลักทรัพย์ ลดลง 710 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 344 หลักทรัพย์
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้เป็นลักษณะการประคองตัวเลือกลงทุนหุ้นรายตัวในหุ้นขนาดกลางอย่างกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี นำโดยหุ้น PTTGC ที่มีแรงซื้อเข้ามาคึกคักจากสเปรดปิโตรเคมีคาดว่าจะขยับขึ้น รวมถึงหุ้น DELTA ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่ได้ตอบรับการประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ที่มีมติผ่อนปรนมาตรการสกัดกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะที่ 2 มากนัก โดยผ่อนปรนให้หลายกิจการเปิดได้ตั้งแต่ 17 พ.ค.เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป เนื่องจากรับรู้ไปบ้างแล้วว่ารัฐบาลจะมีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทยดีขึ้น ขณะที่ยังรอว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปออกมาอีกหรือไม่ หลังมาตรการที่ออกมาส่วนใหญ่มุ่งช่วยเหลือภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหลัก แต่การช่วยเหลือภาคธุรกิจยังมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ ตลาดยังกังวลปัจจัยต่างประเทศทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่แม้ภาพรวมอาจจะชะลอตัวลง แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในบางประเทศก็ไม่ได้ลดลงมาก รวมถึงยังมีความกังวลการแพร่ระบาดรอบสองหลังหลายประเทศผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ตลอดจนจับตาความคืบหน้าของสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เริ่มเห็นความขัดแย้งกันอีกรอบ
ส่วนแนวโน้มการซื้อขายในสัปดาห์หน้า คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบตามการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว พร้อมทั้งยังต้องจับตาการประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/63 ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) จะแถลงในวันที่ 18 พ.ค. และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 พ.ค. ซึ่งเบื้องต้น consensus คาดการณ์ว่า กนง.จะตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับเดิม แต่ก็มีโอกาสลดดอกเบี้ยในระยะต่อไป
พร้อมมองแนวรับที่ 1,266 และ 1,258 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,300 และ 1,315 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,795.27 ล้านบาท ปิดที่ 35.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,159.67 ล้านบาท ปิดที่ 69.50 บาท ลดลง 0.75 บาท
CBG มูลค่าการซื้อขาย 1,525.68 ล้านบาท ปิดที่ 94.50 บาท เพิ่มขึ้น 7.50 บาท
BAM มูลค่าการซื้อขาย 1,488.39 ล้านบาท ปิดที่ 23.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,310.53 ล้านบาท ปิดที่ 83.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท