นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิ 22.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/62 ที่มีกำไร 13.59 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 329.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/62 ที่มีรายได้ 317.66 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจสติ๊กเกอร์
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของกลุ่มบริษัทแบ่งเป็น ธุรกิจกาวอุตสาหกรรม 44% และ ธุรกิจสติ๊กเกอร์ 56%
อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิไตรมาส 1/63 ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.92 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจกาวอุตสาหกรรมนั้น ไตรมาส 1/63 รายได้จากการขายในประเทศเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/62 ราว 6.55% ขณะที่รายได้จากการขายต่างประเทศลดลง 4.07% อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้ายอดขายปรับตัวลดลงทั้งในและต่างประเทศ 3.5% และ 22.4% ตามลำดับ โดยการหดตัวในตลาดต่างประเทศส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 กับการส่งออกเนื่องจากหลายประเทศมีการปิดเมืองในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
นายเอก เผยว่า จากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ตั้งแต่เดือน ก.พ.โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว การส่งออก และอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบต่อรายได้โดยตรง โดยเห็นได้ชัดจากการส่งออก เนื่องจากเกิดการปิดเมืองเต็มรูปแบบในบางประเทศ รวมทั้งความต้องการของอุตสาหกรรมบางประเภทหดตัวลง เนื่องจากความต้องการของตลาดซบเซา โดยผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจยังอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพมากขึ้นเป็นลำดับสำคัญ
ดังนั้น กลุ่มบริษัทจึงมุ่งไปยังกลุ่มที่ยังคงมีความต้องการสูง มีการเติบโตดี เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพของผู้บริโภค เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคที่ใช้ในครัวเรือนต่าง ๆ และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์หีบห่อ และด้านการขนส่ง ซึ่งกลุ่มบริษัทมีลูกค้าอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว
นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ SELIC กล่าวเสริมว่า กลุ่มบริษัทยังคงมองหาโอกาสจากวิกฤตินี้ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการขายและการตลาดในการเน้นไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง เพื่อลดแรงจากผลกระทบด้านยอดขายให้น้อยที่สุด โดยมองไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญของบริษัท ซึ่งตั้งแต่เกิดโรคระบาดทางกลุ่มบริษัทมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ร่วมกันระหว่างคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
นางสาวยุวดี กล่าวว่าภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอน ทางฝ่ายบริหารจึงให้ความสำคัญกับการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรักษาและลดผลกระทบต่อรายได้จากหน่วยธุรกิจของซีลิค ขณะเดียวกันก็มุ่งมั่นในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อการคงสภาพคล่องและกระแสเงินสด รวมถึงความสามารถในการทำกำไร เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป