นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ในกรอบจำกัด หลังจากพ้นช่วงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ทำให้อาจจะต้องถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ซึ่งก็จะส่งผลให้ Valuation ตึงตัว อีกทั้งยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคิด-19 หลังคลายล็อกดาวน์แล้วจะเป็นอย่างไร โดยขณะนี้ทางสหรัฐฯ และยุโรป จำนวนผู้ติดเชื้อชะลอการเพิ่มขึ้น แต่ทางบราซิล, อินเดีย, อิหร่าน และรัสเซีย จำนวนผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้น
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนด้วย ส่วนบ้านเราให้ติดตามตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 1/63 ที่จะออกมาในวันนี้ และในสัปดาห์นี้ให้ติดตามการปรับประมาณการเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รวมถึงยอดขายรถยนต์ในไทยด้วย
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อยราว 0.1% อย่างไม่มีทิศทาง พร้อมให้แนวรับ 1,275-1,270 จุด ส่วนแนวต้าน 1,290 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 พ.ค.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,685.42 จุด เพิ่มขึ้น 60.08 จุด ( +0.25%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,863.70 จุด เพิ่มขึ้น 11.20 จุด (+0.39%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,014.56 จุด เพิ่มขึ้น 70.84 จุด (+0.79%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 60.15 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.06 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 60.80 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 61.71 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.23 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 3.42 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 5.95 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 พ.ค.63) 1,280.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด (+0.03%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,635.58 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 พ.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 พ.ค.63) ปิดที่ 29.43 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.87 ดอลลาร์ หรือ 6.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 พ.ค.) อยู่ที่ -3.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.06 ทรงตัวจากเย็นวันศุกร์ จับตาตัวเลข GDP-แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากสภาพัฒน์วันนี้
- รถไฟไทย-จีน ลุ้น สผ.เคาะรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ปลาย พ.ค.นี้ เตรียมเซ็นรับเหมาลุยก่อสร้างเกือบแสนล้านบาท บอร์ดรฟท. สั่งเร่งเช็กคุณสมบัติ 3 สัญญา "ศักดิ์สยาม" นัดประชุมคณะกรรมการร่วมฯปิดดีลเซ็นซื้อระบบไฮสปีด 5 หมื่นล้านบาท ต.ค.นี้
- สภาหอการค้าไทยเตรียมประชุมรอบสุดท้าย 21 พ.ค.นี้ ก่อนเคาะหนุนเข้าร่วม 'ซีพีทีพีพี' หรือไม่ ด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ ก็ร่วมถกหลังสมาชิกเสียงแตกมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เผย 'ซีพีทีพีพี' มีรายละเอียดและซับซ้อนกว่าความตกลงทางการค้า หรือเอฟทีเออื่นๆ
- เปิดสถานะและแนวทางแก้ปัญหา 82 สหกรณ์ที่ลงทุนในหุ้นและหุ้นกู้บินไทย 4.2 หมื่นล้านบาท ชี้ไม่กระทบฐานะการเงิน เมื่อเทียบสัดส่วนเงินลงทุนต่อกับสินทรัพย์รวมของสหกรณ์ที่มีสูงถึง 1.17 ล้านล้านบาท และสหกรณ์จะไม่ขาดทุนจากการตั้งสำรองหนี้เสีย หากบินไทยชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปีนี้ไม่ได้แต่บางแห่งอาจกำไรลดลง และขาดสภาพคล่องหากคนตกใจแห่ถอนเงินสั่งทำความเข้าใจ และเตรียมเงินสดไว้รองรับส่วนหุ้นกู้ที่จะทยอยครบกำหนดปี 64-77 ขึ้นกับสถานะบินไทยมั่นใจว่ารัฐจะจัดการได้ดีที่สุด
- คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) นัดประชุมในวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 นี้ ถึงแนวทางฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้จะเสนอให้ กระทรวงการคลังลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท การบินไทย ให้ต่ำกว่า 50% เพื่อให้บริษัท การบินไทย พ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ
*หุ้นเด่นวันนี้
- HMPRO (กรุงศรี) "ซื้อเก็งกำไร"เป้าสูงสุด IAA Consensus 16.50 บาท ได้ Sentiment บวกโดยตรงจากภาครัฐปลดล็อกกิจกรรมเศรษฐกิจระยะที่ 2 และอนุญาตให้ห้างและร้านวัสดุก่อสร้างกลับมาเปิดดำเนินการได้ตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา ซึ่งกระแสตอบรับดีมาก ประชาชนเข้าคิวรอเข้าใช้บริการตั้งแต่ห้างยังไม่เปิด มองเป็น pend up demand ที่ถูกกักไว้
- RBF (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.30 บาท กำไรดีกว่าคาดมากโดยอยู่ที่ 147 ล้านบาท ถ้าหักรายการพิเศษ กำไรปกติเป็น 154 ล้านบาท +54% Q-Q, +77% Y-Y แม้ธุรกิจโรงแรมจะถูกกระทบจาก โควิด-19 แต่ชดเชยได้จากธุรกิจหลักคือวัตถุแต่งสีแต่งกลิ่นและกลุ่มแป้งและซอสที่เติบโตดีมาก ขณะที่อัตรากำไรดีขึ้นจากการคุมต้นทุนและรายจ่าย และปรับ product mix ด้านแนวโน้มกำไร Q2/63 ชะลอ Q-Q เพราะ lockdown แต่บริษัทเน้นคุมค่าใช้จ่ายเข้มข้น ล่าสุดโรงงานที่อินโดนีเซียเริ่มผลิตแล้ว โดยปรับกำไรปีนี้ขึ้น 16% เป็น 505 ล้านบาท +32% Y-Y ปัจจุบันมี PE 19 เท่า PEG เพียง 0.6 และ EV/EBITDA ต่ำเพียง 10 เท่า
- TOP (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ"เป้า 47 บาท แนวโน้มผลประกอบการ Q2/63 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ เนื่องจากโอกาสขาดทุนจาก Stock Loss และอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมากเหมือนช่วง Q1/63 จะลดลง โดยคาดหวังราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในเดือน มิ.ย.ขึ้นมาอยู่เหนือ 35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนผลการดำเนินงานเป็นการฟื้นตัวต่ำ ค่าการกลั่นดีขึ้นจากต้นทุนน้ำมันดิบจาก ME ที่มี discount รวมถึงธุรกิจอะโรเมติกส์มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากคาดการณ์อุปสงค์ของสาร PX ปรับตัวเพิ่มขึ้นในการนำสาร PX ไปทำขวด PET ในช่วงฤดูร้อน