ผลประกอบการที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัททยอยรับรู้รายได้จากงานโครงการในมือ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในไตรมาสนี้ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
นายหยัง กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้รับงานใหม่ 2 โครงการเมื่อต้นเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบัน บริษัทมีปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ (backlog) เพิ่มมาอยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี ทำให้เชื่อว่า ผลประกอบการในปี 2563 จะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
รวมทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานใหม่ มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังดำเนินต่อไป รวมทั้งวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาด ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้พัฒนาโครงการจำนวนมาก มองหาบริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กที่อยู่นอกประเทศจีนมากขึ้น แต่รวมไปถึงการสร้างห่วงโซ่อุปทานแห่งใหม่โดยลดการพึ่งพาผู้ประกอบการจากประเทศจีน สถานการณ์ดังกล่าวเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้แก่บริษัทในการเข้าไปรับงานมากขึ้นได้อีก
ทั้งนี้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก แต่บริษัทยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้ดำเนินโครงการใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าหลายราย ต้องการมองหาบริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กที่สามารถเป็นคู่ค้ากันในระยะยาว ดังนั้น จึงเชื่อว่าบริษัทฯ มีโอกาสสูงที่จะได้รับงานเพิ่มเติมในอนาคต
ขณะที่ในปัจจุบัน แม้ว่า ราคาน้ำมันได้ลดลง แต่ด้วยศักยภาพและประสบการณ์ในการดำเนินโครงการให้แก่ลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม บริษัทยังได้รับเชิญให้เข้าไปร่วมประมูลโครงการต่างๆ ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน อุตสาหกรรมก๊าซ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินโครงการที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ อันจะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้แก่บริษัทในอนาคต