นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อยได้นำมาตรฐานการรายงานทางการเงินใหม่มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยได้มีการปรับปรุงย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งประกอบด้วยมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน (TAS 32 TFRS 7 และ TFRS 9) และที่เกี่ยวกับสัญญาเช่า (TFRS 16)
การนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) หากบริษัทยังคงใช้นโยบายเดิม(มาตรฐานเดิม) NPL จะอยู่ที่ 3.82% หากแต่ที่ขยับขึ้นมาแตะอยู่ที่ระดับ 4.9% เนื่องจากตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ TFRS 9 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 2562 (มาตรฐานเดิม) NPL อยู่ที่ระดับ 3.96% หากพิจารณาจะเห็นว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังอยู่ในระดับเดิม แต่เนื่องจาก TFRS 9 มีนโยบายการตัดหนี้สูญที่เข้มข้นกว่าเดิม โดยหนี้สูญจะตัดได้ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามตัวเลข NPL ระดับดังกล่าวบริษัทสามารถบริหารจัดการได้และเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ NPL ที่เคยใช้มาตรฐานเดิม
"จริงๆแล้วคุณภาพลูกหนี้ของบริษัทเหมือนเดิม แต่เพราะมาตรฐานใหม่ที่มีการจัดชั้นหนี้ NPL ที่เข้มงวดขึ้น เลยทำให้ตัวเลข NPL สูงขึ้น แต่ก็ถือว่าขยับขึ้นไม่มาก เพราะเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 62 ที่ใช้มาตรฐานเดิม"นางสาวธิดา กล่าว
SAWAD รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิ 1,032.88 ล้านบาท จากระดับกำไรสุทธิ 843.05 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางสาวธิดา กล่าวว่า ในไตรมาส 1/63 บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ย 2,085.47 ล้านบาท เทียบกับรายได้ดอกเบี้ยงวดเดียวกันของปีก่อน 1,657.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 427.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.81% เป็นผลมาจากการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้เพิ่มขึ้น 17.75% จาก 34,145.51 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/62 เป็น 40,206.99 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/63 ซึ่งการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของกลุ่มบริษัท "กลุ่มศรีสวัสดิ์ ได้เริ่มนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ ปรับปรุงย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี ซึ่งไม่ได้กระทบภาพรวมผลประกอบการ ที่ผ่านมาเราได้เตรียมความพร้อมมาตลอด ปฏิบัติทุกอย่างตามกรอบและหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแล"นางสาวธิดากล่าว