นายคาซึนาริ โอกาวะ ซึ่งเข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าที่บริหาร บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ (SBITO) กล่าวว่า ในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นเดือนเริ่มต้นปีงบประมาณ 2563 ของบริษัทฯ ได้ย้ำวิสัยทัศน์ที่คำนึงถึงความต้องการนักลงทุนไทยเป็นหลัก โดยจะยังคงให้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ ค่าคอมมิชชั่น และอัตราดอกเบี้ย ในอัตราที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการซื้อขายหุ้นที่มีคุณภาพสูง เครื่องมือสำหรับการซื้อขายหุ้นที่เหนือชั้น และเพิ่มโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจให้แก่นักลงทุนไทย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติของ กลุ่มบริษัทเอสบีไอ (SBI Group Companies) ประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินการมา 20 ปี และเป็นผู้นำในการบริการการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
"บริษัทฯขอย้ำว่า การคิดค่าคอมมิชชั่นที่ดีที่สุดให้แก่นักลงทุนไทย ไม่ใช่การทำสงครามค่าคอมมิชชั่นแต่อย่างใด แต่บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของนักลงทุนไทย และมองว่านักลงทุนไทยต้องได้รับโอกาสในการเข้าถึงการลงทุนด้วยค่าคอมมิชชั่นที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์ หากเปรียบเทียบค่าคอมมิชชั่นที่ใช้ในต่างประเทศ ประเทศฟิลิปปินส์ นั้น ค่าคอมมิชชั่นถูกกำหนดที่ 0.25% ไม่สามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ แต่โบรกเกอร์สามารถเพิ่มค่าธรรมเนียมในด้านอื่นได้ หรือที่ประเทศมาเลเซีย ไม่มีการคิดค่าคอมมิชชั่นใดๆ เพราะต้องการให้นักลงทุนรุ่นใหม่มีโอกาสเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นได้ และ SBITO พร้อมที่จะมอบค่าคอมมิชชั่นที่ดีที่สุดให้แก่นักลงทุนไทยที่มาพร้อมกับเครื่องมือ และโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจให้แก่นักลงทุนไทย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆจากบริษัทฯ เพื่อให้การลงทุนของนักลงทุนไทยนั้น เป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด และ" นายโอกาวะ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ปีนี้ บริษัทฯ เน้นการขยายไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ (Young Generation) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ พร้อมที่จะรับข่าวสาร ข้อมูล จากโซเชียลมีเดีย (Social Media) อย่างทวิตเตอร์ (Twitter) และ เฟซบุ๊ก (Facebook) โดยบริษัทฯ มองว่า นักลงทุนกลุ่มนี้จะเติบโตไปเป็นลูกค้าหลักของบริษัทฯ ในอนาคต
ซีอีโอ SBITO ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รายได้ของบริษัทฯ มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ในปี 2562 เติบโตขึ้น 3% จากปี 2561 และมั่นใจว่ารายได้ในปี 2563 ตามรอบบัญชีของบริษัทฯ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ มี.ค. 2562 - ก.พ. 2563 จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกลยุทธ์ที่จะเพิ่มจำนวนการเปิดบัญชีขึ้นอีก 10% ในปีนี้ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจกับหลายบริษัท และจะยังคงมีความร่วมมือกับบริษัทอื่นๆเพิ่มเติมด้วย
นายโอกาวะ เปิดเผยเกี่ยวกับมุมมองการลงทุนว่า นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลในด้านการลงทุน เพราะการลงทุนคือการศึกษา และเป็นความเท่าเทียมกันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพียงแค่สะสมประสบการณ์ ดังนั้น ทุกคนควรหันมาลงทุน และมองหาโอกาสในการทำกำไร และการเติบโตของตลาดหุ้นนั้น จำเป็นที่จะต้องมีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามา ทั้งตลาดหุ้นและนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องเติบโตไปด้วยกัน มีการพึ่งพาอาศัยกัน
"อยากเห็นนักลงทุนไทยมีการทำการบ้านด้วยตนเองเพิ่มมากขึ้น นอกจากบทวิเคราะห์ที่นักลงทุนใช้ศึกษาสำหรับการลงทุน ในปัจจุบันโลกออนไลน์เปิดกว้างมาก พร้อมข้อมูลข่าวสารที่เข้าถึงได้" นายโอกาวะกล่าว
สำหรับในด้านอุตสาหกรรมหลักทรัพย์นั้น นายโอกาวะ กล่าวว่า พร้อมเสมอที่จะมีส่วนในการช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยนั้น มีความแตกต่างจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นในหลายๆด้าน ยกตัวอย่างเช่น เวลาพักระหว่างการซื้อขายช่วงกลางวันที่ประเทศญี่ปุ่น เวลาพักจะอยู่ระหว่าง 11.30 -12.30 น. ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง หรือเรื่องของ การซื้อด้วยมาร์จิ้น (Margin Trading) หรือ การซื้อหุ้นด้วยเงินกู้ของ บริษัทหลักทรัพย์บางส่วน ที่ยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เป็นที่นิยมในต่างประเทศ
"เดิมทีที่ประเทศญี่ปุ่นมีช่วงเวลาพักระหว่างการซื้อขาย 2 ชั่วโมง และมีการปรับลดลงมาเหลือ 1 ชั่วโมง ในขณะที่เวลาพักของประเทศไทย ยังมีเวลาพักถึง 2 ชั่วโมง ในขณะที่การซื้อขายเป็นระบบคอมพิวเตอร์และสามารถซื้อขายออนไลน์ได้ นอกจากนี้ ค่อนข้างแปลกใจเรื่องของ Margin Trading ที่นักลงทุนไทยมองว่าจะทำให้เป็นหนี้ ทั้งๆทีวิธีการดังกล่าว คือการลงทุน ในขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน อีกทั้งยังมีเรื่องผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น การเทรดฟอร์เร็กซ์ ซึ่งในประเทศไทย ยังไม่เป็นที่ยอมรับทางกฎหมาย แต่เห็นโฆษณาการเทรดอย่างกว้างขวาง หากเป็นไปได้ และมีโอกาสได้พูดคุยกับทางการ อยากจะขอนำเสนอผลิตภัณฑ์ และสกุลเงินคริปโต (Cryptocurrency) ให้สามารถซื้อขายได้ถูกต้องตามกฎหมายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ดังเช่นในต่างประเทศ เพราะว่าจะเป็นการดีสำหรับทั้งอุตสาหกรรม และยังส่งผลดีต่อรัฐบาลที่จะมีรายได้จากการเก็บภาษีได้อีกทาง" นายโอกาวะเสริม
ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า SBITO จะดำเนินธุรกิจตามแนวทางของ เอสบีไอ ญี่ปุ่นด้วยการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมเพื่อเป็นการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะกิจการที่เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี และเชื่อว่าในประเทศไทยจะมีกิจการเหล่านี้เกิดขึ้นอีกมาก
นายโอกาวะ เป็นผู้ที่เข้าร่วมงานกับ เอสบีไอ ญี่ปุ่น หลังจากที่บริษัทก่อตั้งไม่นาน และมีประสบการณ์ด้านพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้กับ เอสบีไอ ญี่ปุ่น จนได้รับความไว้วางใจให้มารับตำแหน่งซีอีโอที่ประเทศไทย