นายวีระพล ไชยธีรัตต์ ประธานกรรมการ บมจ.วัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป (CWT) เปิดเผยว่า ทิศทางของธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 63 ที่มีไฮไลต์น่าสนใจทั้งจากกลุ่มธุรกิจออกแบบและจัดจำหน่ายเรือและรถโดยสารขนาดเล็กที่ผลิตด้วยอลูมิเนียม,ธุรกิจพลังงานและการกลับมาของการขายและบริการจากธุรกิจผืนหนัง ซึ่งจะเห็นได้เด่นชัดอย่างแน่นอน หลังจากไตรมาสแรกบริษัทได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
ทั้งนี้ CWT แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/63 มีกำไร 13.94 ล้านบาท ลดลงจาก 34.66 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
"โดยรวมแล้วแม้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 จะปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ยังคงมีกำไรจากการดำเนินงาน และเมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าบริษัทฯยังสามารถทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ จากความพยายามบริหารจัดการในทุกๆด้านอย่างรอบคอบแม้ผลกระทบจากปัจจัยภายในภายนอกหรือที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้จะกระจายตัวอย่างรุนแรง แต่บริษัทเริ่มปรับตัวได้แล้ว คาดการว่าทุกประเภทธุรกิจจะสามารถทำผลงานที่น่าพอใจได้ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป"นายวีระพล กล่าว
สำหรับธุรกิจออกแบบและจัดจำหน่ายเรือและรถโดยสารขนาดเล็กที่ผลิตด้วยอลูมิเนียมที่บริษัทฯร่วมลงทุนในบริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด สัดส่วน 50.01% ถือเป็นธุรกิจไฮไลต์สำคัญของ CWT ในปีนี้ ด้วยสกุลฎ์ซีเป็นผู้ผลิตเรือและรถโดยสารขนาดเล็กที่ผลิตด้วยอลูมิเนียมรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานกาณ์โควิด-19 เลยในด้านผลประกอบการ
โดยบริษัทมีกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ออเดอร์รถบัสดีเซล, EV Boat และ EV Bus ที่มีอยู่ในมือ จะพร้อมนำมาวิ่งทดสอบได้ในเดือน มิ.ย.และส่งมอบได้ตามกำหนดการที่เจรจาไว้กับแต่ละหน่วยงาน ซึ่งจะทำให้มีรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3/63 อย่างต่ำ 100 ล้านบาท อีกทั้งมีแนวโน้มจะมีออเดอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้โดยสารที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ประกอบการหันมาปรับใช้รถมินิบัสซึ่งมีทั้งระบบความปลอดภัยและระบบระบายอากาศที่ดีกว่าแทนรถตู้
ด้านการขายและบริการจากธุรกิจหนังผืนที่ในไตรมาส 1/63 มีรายได้ลดลงเล็กน้อยจากการหยุดชะงักของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศและยังส่งผลต่อเนื่องถึงการดำเนินงานในปัจจุบัน จากการประเมินบริษัทคาดว่าธุรกิจประเภทนี้จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปี 63 ด้วยปัจจุบันประชาชนเริ่มคุ้นชินต่อการป้องกันตนที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งภาครัฐเริ่มมีนโยบายผ่อนปรนมากขึ้น ทำให้หลายธุรกิจทยอยกลับมาดำเนินการได้ ทุกภาคฝ่ายสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น รวมถึงภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย ซึ่งบริษัทยังมีกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพอยู่ในมือตามเดิม เมื่อกลุ่มลูกค้ามีความพร้อมด้านการผลิต บริษัทก็พร้อมเริ่มเดินเครื่องให้บริการด้านนี้อีกครั้งทันที ซึ่งผลการดำเนินงานของธุรกิจประเภทนี้จะกลับสูงขึ้นดังเดิมตามไปด้วย
ด้านกลุ่มธุรกิจพลังงานกำลังจะมีข่าวดีให้เห็น จากเมื่อช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาที่บริษัทรายงานเกี่ยวกับบริษัทย่อยคือ บริษัท กรีน เพาเวอร์ 1 จำกัด ได้รับหนังสือแจ้งว่าได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการโครงบริหารจัดการและการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนลงทุนโดยเอกชน เทศบาลนครนครสวรรค์ คาดว่าจะเข้าทำสัญญาโครงการบริหารจัดการและการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ได้เสร็จสิ้นภายในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.63 ซึ่งจะเป็นการทำสัญญาว่าจ้างแบบระยะยาว 25 ปี มีมูลค่ารวมประมาณ 590 ล้านบาท จะเป็นรายการที่มาเสริมให้บริษัทมีรายได้ด้านธุรกิจพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง