น.ส.วรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กลับมาเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรม HOP INN แล้วตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.นี้เป็นต้นไป โดยมีจำนวน 20 แห่ง ใน 16 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี, แจ้งวัฒนะ, เชียงราย, เชียงราย หอนาฬิกา, เชียงใหม่, เชียงใหม่ ซุปเปอร์ไฮเวย์, นครปฐม, นครสวรรค์ มุกดาหาร, แม่สอด, ร้อยเอ็ด, ระยอง, รังสิต, ลพบุรี, ลำปาง, ลำปาง ซิตี้ เซ็นเตอร์, สระแก้ว, สุราษฎ์ธานี, หนองคาย, อุบลราชธานี เป็นต้น ซึ่งในช่วงของการโปรโมทการกลับมาเปิดให้บริการส่งผลให้มียอดจอง โดยคิดเป็นอัตราการเข้าพัก (OCC) แล้ว 7-10% ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัทก็มีแผนจะทยอยเปิดให้บริการของโรงแรมเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ภาครัฐไม่มีข้อจำกัดในการเปิดให้บริการ ขณะเดียวกันยังได้ยกระดับการรักษาความสะอาดในทุกๆ ด้านเพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในความสะอาด และการใช้บริการภายในโรงแรม
ทั้งนี้ จากการศึกษาแนวโน้มนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เชื่อว่าตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศจะเป็นตลาดแรกที่จะกลับมา และจะใช้ขับรถไปในพื้นที่ใกล้ๆ โดยไม่ต้องขึ้นเครื่องบิน ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่านักท่องเที่ยวในประเทศจะเริ่มกลับมาในเดือน มิ.ย.-ก.ค.63 และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 4/63 เป็นต้นไป ส่วนสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) คาดว่ากว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเหมือนเดิมน่าจะใช้เวลาถึง 1-2 ปีจากนี้
น.ส.วรมน กล่าวว่า สิ่งที่บริษัทจะใช้ในการพิจารณากลับมาเปิดให้บริการของโรงแรม ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1.เป็นไปตามคำสั่งของภาครัฐ 2.มั่นใจว่าโรงแรมจะเป็นไปตาม Standard Hygiene Procedure โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาดและปลอดภัย 3.วิเคราะห์ดีมานด์ และ 4.ผลกระทบด้านการเงินว่าการกลับมาเปิดหรือปิดโรงแรม อย่างใดส่งผลดีกับบริษัทมากกว่ากัน
"ในไตรมาส 2/63 เราจะมีแค่กลุ่ม HOP INN ที่เปิดให้บริการ โดยจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ และในระยะถัดไปก็จะเป็นกลุ่ม Midscale ถึง Economy ที่คาดจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3/63 ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่จะกลับมาเปิด คือกลุ่มที่พึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงโรงแรมระดับ 5 ดาว ก็จะดูในเรื่องของความพร้อมและมาตรฐานความสะอาด"น.ส.วรมน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะชะลอการลงทุนพัฒนาโรงแรมใหม่ และการปรับปรุงโรงแรมเดิมออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติ โดยในช่วงต้นปีบริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 1,400 ล้านบาทใช้ไปแล้วในไตรมาส 1/63 ราว 250 ล้านบาท ซึ่งการกลับมาใช้เงินลงทุนจะพิจารณาถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวและสภาพคล่องเป็นปัจจัยสำคัญ คาดว่าหากกลับมาลงทุนภายในปีนี้ก็คาดว่าจะใช้เม็ดเงินทั้งหมดราว 500-700 ล้านบาท
น.ส.วรมน กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีกระแสเงินสดราว 1,400 ล้านบาท และยังมีวงเงินสนับสนุนจากสถาบันการเงินอีกราว 6,100 ล้านบาท ยืนยันว่าเพียงพอต่อการรองรับการดำเนินกิจการในช่วงวิกฤตินี้