โดย Backlog ดังกล่าวจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้จำนวน 12,158 ล้านบาท เป็น Backlog จากโครงการร่วมทุน 4,545 ล้านบาท และ เป็น Backlog จากโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง 7,613 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 65 อย่างไรก็ตาม ในปี 64 จะทยอยรับรู้ 12,861 ล้านบาท และ ในปี 65 จะทยอยรับรู้ 15,093 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทยังมีสินค้าเหลือขายมูลค่ารวมประมาณ 8,000 ล้านบาท สำหรับแผนการลงทุนปีนี้บริษัทยังคงงบลงทุนไว้ที่ 4,000 ล้านบาท โดยเป็นการขยายโครงการ และ ซื้อที่ดิน ซึ่งบริษัทไม่ได้ปรับลดงบเงินลงทุนแต่อย่างใด ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากกกระแสเงินสดในมือที่มีมากกว่า 1,061 ล้านบาท และ วงเงินที่รอเบิกใช้จากสถาบันการเงินอีก 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีแผนการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในปีนี้ แม้ว่าในเดือน ก.ค. จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ 2,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะนำเงินจากผลการดำเนินงานมาชำระหุ้นกู้ดังกล่าว โดยไม่ต้องออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทนแต่อย่างใด และ ปี 64 ยังมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระอีก 2,000 ล้านบาท และ ปี 65 อีก 2,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยืนยันว่าฐานะทางการเงินยังคงเข้มแข็ง และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 1.53 เท่า และคาดว่า ณ สิ้นปีจะลดลงเหลือ 1.3 เท่า
ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะในพื้นที่โครงการ ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ รามอินทรา (Origin Smart City Ramintra) แลนด์มาร์คใหม่ ที่ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ คอมมูนิตี้ มอลล์ ฯลฯ บนพื้นที่ประมาณ 13 ไร่ ให้ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะหรือ Smart Eco นับเป็นโครงการนำร่องในการพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) แห่งแรกในเขตเมืองของออริจิ้นฯ
ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาและนำระบบต่าง ๆ เข้ามาใช้ในพื้นที่โครงการ อาทิ ระบบการจัดการพลังงานภายในอาคาร (BEMS)ระบบการจัดการพลังงานภายในที่อยู่อาศัย (HEMS) การทำระบบสายไฟฟ้าใต้ดิน การใช้ระบบกักเก็บไฟฟ้าร่วมกับพลังงานทดแทน เพื่อให้ทุกพื้นที่ภายในโครงการ ทั้งภายในที่อยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ตลอดจนอาคารต่าง ๆ มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด